เทียนที่เผาไหม้ตัวเอง-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ก็เห็นใจบิ๊กโจ๊ก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” เขานะ
อุตส่าห์ตามไปยืนตะเบ๊ะ “นักโทษ” ถึงเชียงใหม่
ขณะที่ตัวยังนัวเนียอยู่กับแวดวงอสัญแดหวา “ศูนย์กลางอำนาจเก่า” ที่ฟุบไป แล้ววันนี้ กลับ “ฟูขึ้นมาใหม่”

อยู่ทางนี้…..
ตำรวจ “สน.ทุ่งสองห้อง” นำหมายเรียกเชิญตัวให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา “สมคบฟอกเงิน” ถึงบ้าน เมื่อเช้าวาน (๑๗ มีค.๖๗)
ก็ไม่รู้บารมี “นักโทษเทวดา” จะคุ้มได้แค่ไหน?

เรื่องตำแหน่งผบ.ตร.น่ะ
ความจริง “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะรู้ตัวเองมาตั้งนานแล้วว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาวุโสอย่างเดียว
หากแต่มีปัจจัยเป็น “คุณสมบัติ” ประกอบหลายอย่าง เช่น

-การประพฤติปฎิบัติตน ต่อตำแหน่ง-หน้าที่
-ความซื่อสัตย์-สุจริต ต่อการทำหน้าที่

บุญวาสนาจากความดีสะสมไว้ มีหรือไม่?

และที่สำคัญ….
เท่าที่ดู “ผู้มากบารมีเหนือกฎหมาย” เขามี “ตัววาง” ของเขาไว้แล้ว!

บิ๊กโจ๊กเปลี่ยนเข็มจากเก้าอี้ ผบ.ตร. ไปมุ่งมั่นทางสู้คดีสมคบฟอกเงิน-คดีมินนี่ อะไรนั่น ให้รอดก่อนเหอะ

บ้านเมืองช่วงนี้…..
มีอะไร “วิปริต-วิตถาร” ให้ดูและให้ปลงเป็นที่วิพากษ์-วิจารณ์กันหลากหลายเวอร์ชั่น

ทั้งด้านดีและด้านอัปรีย์!
ทักษิณไปตรวจราชการเชียงใหม่สอง-สามวันที่ผ่านมา ท่านมองในด้านไหนกันบ้างล่ะ?

สำหรับผม ทางหนึ่ง ก็ดีใจ ปนอิจฉา
ที่เห็นคนหนีคดี จากบ้าน-จากเมือง ไปร่วม ๒๐ ปี มีวาสนาได้กลับมาอย่างเท่ๆ

และได้กลับบ้านเก่า ได้ไปสุสาน ตำรวจปิดถนน มีรถนำขบวน ต้อนรับเยี่ยงการมาเยือนของ “บุคคลผู้ยิ่งใหญ่” เหยียบเมือง

ท่ามกลางไพร่แดง ข้าราชการ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย แห่ห้อม ล้อมหน้า-ล้อมหลัง ตะโกนหา

ขนาดว่า “นายกฯ-รัฐมนตรี” ยังต้องไปรายเรียง ตัวงอเป็นกุ้ง ขี้ขึ้นอยู่บนหัวสมอง นั่งประดับบารมี รายงานข้อราชการกับนักโทษ

คิดดูก็แล้วกัน “บ้านนี้-เมืองนี้” ใครใหญ่เหนือรัฐบาล เหนือกฎหมาย เหนือประเทศ?

ถ้าถามกระจกวิเศษ กระจกวิเศษก็ต้องตอบว่า
“นักโทษทักษิณนะซี ใหญ่เหนือปฐพี!

ถ้าไม่ใหญ่จริง นักโทษไม่บังอาจพูดว่า…. “ใครไม่ชอบหน้าผม ก็ต่างคน-ต่างอยู่”  ก็แล้วกัน
แบบนี้ เชื่อแล้วว่า “ใหญ่จริง”

แต่ที่พูด คงไม่ได้หมายถึง คิดจะ “แยกประเทศ” กันอยู่กระมัง?!

นี่ด้านดีใจ ที่คนซมซานหนีคดีไป ๑๗ ปี ได้กลับมา
แต่อีกด้านในความรู้สึกผม คือ

“สงสารครับ…สงสาร”!

ทำให้นึกถึง “พลุ-ตะไล-ไฟพะเนียง” ที่เห็นตอนเด็กๆ เขาจะจุดก่อนประชุมเพลิง
อย่างตะไลนี่ พอจุด มันก็ควั่บๆๆๆๆๆ หมุนเป็นเกลียว พุ่งขึ้นท้องฟ้า แหงนดูคอตั้งบ่า ตื่นตา-ตื่นใจ
พอสุดพลังดินปืนประจุ มันก็จะแตกโพละ

ถ้าเป็นตอนกลางคืน….
จะเห็นกระจายสว่างจ้า เป็นเป็นเศษขยะวูบวาบบนท้องฟ้า เป็นวงกว้าง
ซักพัก ก็….ไม่เหลืออะไรให้เห็นเลย แม้แต่ซาก!

ประสบการณ์ จากการ “สูญเสียอำนาจ” จนกระทั่งต้องเป็นสัมภเวสี ไม่ต่างกระสือลอยไส้ ร่วม ๒๐ ปี

เมื่อได้กลับมา….
แทนที่จะใช้ประสบการณ์นั้น เป็นบทเรียนสอนใจ ว่า “ผิดพลาดตรงไหน” แต่หลัง แล้วแก้ไขตรงนั้น
พร้อมสำนึกใน “ภาวะแห่งตน” แล้ว “อยู่ให้เป็น” กับภาวะนั้น ให้สมกับโอกาสที่ตัวเองได้รับ

ภาษาชาวบ้านเขาเรียก “รู้จักเจียมเนื้อ-เจียมตัว” ไม่มักใหญ่-ใฝ่สูง ไม่เห่อเหิม ทะเยอทะยาน จนเกินพอดี
แบบนั้น จะได้ “อยู่และตาย” ในแผ่นดิน สงบและเป็นสุขตราบชั่วลูก-ชั่วหลาน

แต่ในสภาพ “นักโทษ” แค่อยู่ในช่วง “พักโทษ” กลับวางตนและพูดจา ประหนึ่ง “ช้างเหยียบนา-พระยาเหยียบเมือง” ดังปรากฎ
ไม่เป็นคุณกับตัวเองเลย!

แทนที่ชาวบ้านทั่วไปจะเห็นใจและให้อภัยตามวิสัยคนไทย กลับทำให้เกิดความรู้สึกว่า
ขนาดเป็นนักโทษ กลับมาเชียงใหม่วันแรก ยังขนาดนี้
แล้วต่อไป วันข้างหน้า
จะไม่มีใครเหิมเกริมถึงขั้นคิดสถาปนา “วงศ์ชินวัตร” ขึ้นหรือ?

เพราะมันมีหน่อแนวให้คิด จากตอนทักษิณปลุกเสื้อแดง “เผาบ้าน-เผาเมือง”
ที่พากันตะโกน “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา”

ตั้งชื่อรัฐใหม่ มีธงประจำรัฐ
ถึงขั้นจัดพิธี “สวนสนาม” กันตอนนั้น มันเป็นเหตุการณ์สะท้อน “ความทะยาน” ของคนบางคน ที่ยากจะไม่ให้สังคมระแวง!

แค่วันแรก ในสภาพที่ “แพทย์-ราชทัณฑ์” ออกใบรับประกันจำแลงให้ว่า “ป่วยขั้นวิกฤต อาจอันตรายถึงชีวิต” และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

แต่ปรากฏว่าป่วยวิกฤต กลับปรู๊ดปร๊าด ประหนึ่ง “ปล่อยเสือเข้าป่า-ปล่อยปลาลงน้ำ” ยิ้มร่า ให้เห็นเขี้ยว กับการได้แผ่ศักดาบารมีกลางฝูงชน

นักข่าวถามนายเศรษฐา……
“จะได้เห็นนายกฯ ลงพื้นที่คู่กับทักษิณมั้ย

เพราะเวลาทักษิณลงพื้นที่ ประชาชนจะมาต้อนรับ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทักษิณเป็นเนื้อหนึ่งสำคัญของพรรคเพื่อไทย?”

นายกฯ ประหนึ่ง “วิญญานทาส” เข้าสิง ตอบรับเต็มเสียง

“อ๋อ….แน่นอน ท่านเป็นผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทยมา และเป็นจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทยด้วย
และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นป๊อบปูล่าสูงมาก ผมพูดไปหนที่สิบแล้ว

ตรงนี้ผมเชื่อว่า ถ้าเราไม่ดึงท่านมาช่วยตรงนี้ ประเทศไทย ก็จะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่
แต่ส่วนที่นัดกันไปหรือเปล่า….ยังไม่ได้นัด แต่ถามว่า มีโอกาสเป็นไปได้ไหม

“มีโอกาสอยู่แล้วครับ”
ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ คนไหน ที่อดีตนายกฯ คนไหน อยากจะลงพื้นที่ด้วย ผมก็ยินดี”

กล่าว “แก้ขวย” ตอนท้าย
“วิญญานทาส” น่าจะออกจากสิงร่างใหม่ๆ สติเพิ่งกลับ จึงกลบเกลื่อนแบบกากๆ!

รอยลายเยี่ยงนี้แหละ ทำให้ทักษิณเป็นที่สงสารของผม
ขอให้เป็นสุขและปลื้มปริ่ม
กับ “อำนาจ-บารมี” ที่ได้ฟื้นกลับและได้บริโภค “อำนาจ-บารมี” นั้นให้อิ่มหนำสำราญกันเถิด

ทักษิณกลับมาใหญ่
ข้าทาส-บริวาร-พี่น้องร่วมตระกูลที่ลี้หน้า แต่ครั้งเรื่องทุจริตจำนำข้าวเป็นไฟลามตัว ก็มากันพร้อมหน้า-พร้อมตา ออร่ากระจาย

ยกตระกูล “ใหญ่” กันทั้งแผ่นดินอีกครั้ง!
ผมก็พลอยปลื้มไปด้วย

นึกถึง “พลุ-ตะไล-ไฟพะเนียง” ไว้บ้างนะ ถ้านึกภาพไม่ออกภาพ ก็ให้นึกตอน “เทียน” ใกล้ดับก็ได้

“เทียน” นั้น มีแสงจากไส้ ที่เผาไหม้ตัวมันเอง

เมื่อใกล้จะหมด….
ปลายไส้ชุ่ม ด้วยจุ่มจม อยู่ในน้ำตาเทียนร้อนจากเผาละลาย มันจะลุกโพลง วะแวมแสง สว่างจ้ากว่าเดิมหลายเท่า

ก่อน “น้ำตาเทียน” ที่หล่อเลี้ยงไส้เป็น “แสงสุดท้าย” จะละลาย แล้วไฟที่เผาทั้งไส้-เผาทั้งตัวเอง
ก็สิ้นเชื้อ ไม่มีอะไรเหลือ

นอกจากคราบน้ำตาแห้งกรังก่อน “ดับ” ตลอดกาล!
มันเป็น “เส้นทางกรรม” คือ “ธรรมชาติ” ที่กำหนดไว้แล้ว ทำอย่างใด-ย่อมได้รับผล อย่างนั้น

เมื่อ “เหตุ” คือสิ่งที่ทำเป็นเช่นนั้น ฉะนั้น ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยน “ผล” ที่ผู้ทำจะต้องได้รับไปได้

ก็รู้….ไม่มีใครทำ
หากแต่ “ทำตัวเอง” โดยแท้!

ก็ขอให้เป็นสุข..เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรและกรรมต่อกันเลย!

เปลว สีเงิน
๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
การเมือง “หลังเมษา.” -เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “สงกรานต์” ก็ผ่านไปอีกปี! วันจันทร์ (๑๘ เมษา.) ก็ขมีขมันสู่ที่ทำงานให้เหมือนไก่บินตอนออกต่างจังหวัดก็แล้วกัน สงกรานต์ “หยุด”…. แต่การบ้าน-การเมือง “ไม่หยุด”...
Read More
0 replies on “เทียนที่เผาไหม้ตัวเอง-เปลว สีเงิน”