“ศึก ๒ ด้าน” จาก “๒ พรรค” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ตั้งแต่ทักษิณกลับมานี่….
เมืองไทยไม่ต่าง “แกนกลางโลก” เคลื่อนตัว
ทุกอย่าง “เอียง” และ “รวน” ไปหมด

และเต็มไปด้วยความหวาดระแวงแคลงใจ “ในทุกเรื่อง” ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
ว่า “เบื้องหลัง” ของ “เบื้องหน้า” มันคืออะไร จากหัตถาใครครองพิภพ??

และนั่น นำไปสู่ “ความเชื่อ” ๓-๔ เรื่องในสังคมบริหารราชการประเทศตอนนี้

เรื่องแรก ไม่มีใครเชื่อว่า “รัฐบาล” วันนี้ อำนาจบริหารอยู่ที่นายกฯเศรษฐา!?

เรื่องที่สอง ไม่มีใครเชื่อว่า “เศรษฐา” เป็นนายกฯ ตัวจริง!?

เรื่องที่สาม เชื่อว่า ทักษิณคือ “ศูนย์กลางอำนาจ” คุมประเทศตัวจริงเวลานี้!?

เรื่องที่สี่ เชื่อว่า ต่อจากนี้ อะไรที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย อาจได้เห็นกัน (อีก)!?

และเรื่องที่ ๕ เป็นเรื่องมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อว่า จากเมษา-พฤษภา.นี้ไป เมืองไทยจะไม่เหมือนเดิม!?

นี่ เป็นผลจากแนวโน้ม “เปลือกประเทศ” เขยื้อนตัว ทำให้ผู้คนในสังคมไทยสับสน ไม่ต่างมดคาบไข่ จากสัญชาตญาณที่มันรู้ว่า
เดี๋ยวฝนมา ฟ้าจะผ่า แล้วน้ำจะท่วม!?

ตัวอย่างเห็นง่ายๆ นักโทษทักษิณออกมา “พักโทษคุก” ที่ทำเนียบจันทร์ส่องหล้าปุ๊บ
“สมเด็จฮุนเซน” ประธานองคมนตรีกัมพูชา มาปั๊บ

ไม่สนมรรยาท ไม่แยแสระเบียบขั้นตอนระบบประเทศ
เหาะข้ามหัวทั้งหมด ดิ่งตรงทำเนียบจันทร์ส่องหล้า เข้าหาทักษิณ ยังกะประเทศนี้ เจ้าของคือทักษิณ

และกลับยังไม่พ้นประเทศไทยดี ข่าวก็สะพรึบสื่อต่างประเทศ
ฮุนเซนบินมาคุยทักษิณเรื่องแหล่งพลังงานในอ่าวไทยในพื้นที่ชนกัน ระหว่างไทย-กัมพูชา ตรง “เกาะกูด-เกาะกง”

สอดรับที่นายกฯเศรษฐา ออกข่าวปูทางไว้ล่วงหน้า
ว่า “นายกฯ ฮุนมาเนต” ทายาทมรดกอำนาจสมเด็จฮุนเซน จะบินมาไทย เพื่อหารือกันเรื่องแหล่งพลังงานตรงนั้น
ทำประเทศไทยร้อนฉ่าทันที่!

ร้อนตรงจะขุดเจาะก๊าซ-น้ำมันขึ้นมาใช้ร่วมกันหรือ?

ไม่ใช่
ร้อนตรงคำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” นั่นตะหาก!

คนไทย “รับไม่ได้” ที่รัฐบาลหรือใครเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน”

เพราะในอ่าวไทยตรงนั้น “เกาะกง” ฝรั่งเศสขีดเส้นเอาไปเป็นของกัมพูชา ส่วน “เกาะกูด” เป็นของไทย จบไปนานแล้ว

แต่ต่อมา กัมพูชาทำแผนที่ทางทะเลลากเส้นย้วยเข้ามากินพื้นที่ในเกาะกูดของเราไปบางส่วน
ไทยไม่โอเค.!

สมัยรัฐบาล “จอมพลถนอม กิตติขจร” ก็ทำแผนที่ทางทะเล โดยใช้มาตรฐานสากล
ลากเส้นแบ่งกึ่งกลางระหว่าง “เกาะกง-เกาะกูด” เป็นธรรม-ชัดเจน
ไม่มีคำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” ตรงนั้นแต่อย่างใด

มีแต่ “พื้นที่รอยต่อชนกัน” ระหว่างเกาะ ๒ เกาะ ซึ่งทางกัมพูชาสมัยนั้น ก็ตกลง-พอใจ ตามนั้น

จนมายุค “รัฐบาลทักษิณ” ช่วงปี ๒๕๔๔-๒๕๔๙ นั่นแหละ ทักษิณ-ฮุนเซนคุยกัน เรื่องผลประโยชน์จากการขุดเจาะพลังงานตรงนั้นขึ้นมาใช้

แต่ตกลงเรื่องเปอร์เซนต์กันไม่ลงตัว คาราคาซังมาถึงทุกวันนี้ แล้วรัฐมตรีต่างประเทศไทยสมัยนั้น ไปเซ็น MOU รับรองเส้นแบ่งแหล่งพลังงานอีท่าไหนไม่รู้
เส้นแบ่งที่ล้ำเข้ามาในเขตเกาะกูดของไทย ทำให้กลายเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” เกิดขึ้นซะงั้น

แล้วก็เรียก “พื้นที่ทับซ้อน” กันเรื่อยมา โดยไม่มีใครจะอินังว่า มันทับซ้อนกันจริงหรือไม่?
เมื่อทางการว่าทับซ้อน ชาวบ้านก็ “พื้นที่ทับซ้อน” ตามไปด้วย

การที่กัมพูชาเขยิบพื้นที่เกาะกงเข้ามากินแดนเกาะกูด จาก “เขตแดน-ชนแดน” แล้วเราไปเซ็น MOU ที่เขมรเขยิบมากินแดน

มันก็เลยกลายเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ขึ้นมาในลักษณะ “ผลประโยชน์ใครก็ไม่รู้” ทำให้ “ทับซ้อน”?

ถ้าคุยกันเรื่องจุดเจาะพลังงานตรงพื้นที่ชนกันแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน
มันก็พอจะตกลงกันได้

แต่ถ้าคุยในแง่ที่เขมรล้ำแดนเข้ามาเป็น “พื้นที่ซับซ้อน”
คนไทยตกลงด้วยไม่ได้แน่

ไทยไม่รุกล้ำ-ไม่รุกรานใคร แต่ถ้าใคร “เยี่ยวรดหัวใจ” กันแบบนี้บ่อยๆ ไทยไม่ปล่อยให้เกิดรอยซ้ำสอง จากที่เคย “เสียเขาพระวิหาร” ไปแล้วครั้งหนึ่งอีกแน่!

เนี่ย….
ทักษิณมาปุ๊บ ปัญหาระหว่างประเทศเกิดปั๊บ!

รัฐบาล…นายกฯ เศรษฐาก็ดี กระทรวงต่างประเทศก็ดี ควรเคลียร์ให้ชัด เป็นการ “ตัดไฟแต่ต้นลม”
ในประเด็นคำว่า อะไรคือ “พื้นที่ทับซ้อน”?

“เกาะกูด” ในอ่าวไทย เป็นของไทยทุกตารางนิ้ว ไม่มี “พื้นที่ทับซ้อน” กับใคร-ตรงไหน
มีแต่พื้นที่ “เขตแดน-ชนแดน” กึ่งกลางระหว่างเกาะกงของเขมรกับเกาะกูดของไทยแค่นั้น

จะปล่อยให้กัมพูชามา “ตีขลุม” ตอดเล็ก-ตอดน้อยไปอีกไม่ได้เด็ดขาด

ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยทำไม่เคลียร์ แถมไปซูเอี๋ยนัวเนีย “สมประโยชน์” กับเขมร
นายกฯ “ทำเนียบจันทร์ส่องหล้า” นั่นแหละ
จะถูก “เคลียร์” ก่อนเพื่อน!

ความวัว “ด้านกัมพูชา” จากรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่ทันหาย

ตอนนี้ “ด้านพม่า” สภาผู้แทนไทย….
โดยก้าวไกล “นายรังสิมันต์ โรม” ในฐานะประธานกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
สร้าง “ความควาย” เข้ามาสมทบอีก!

๒-๓ มีนา.ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ ใช้ “รัฐสภาไทย” เป็นเวทีจัดสัมมนา
“สามปีหลังรัฐประหารสู่ประชาธิปไตยเมียนมาและผลกระทบต่อความมั่นคง”

“สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำไทย” ทราบข่าว
ส่งหนังสือถึง “กระทรวงการต่างประเทศของไทย” บอกล่วงหน้าทันที ว่า

“กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาขอคัดค้านอย่างรุนแรงต่อรัฐสภาของไทยที่จะจัดสัมมนาดังกล่าว ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี ระหว่างเมียนมากับไทย

และขอให้รัฐบาลไทยแจ้งให้รัฐสภาทราบถึงความกังวลของรัฐบาลเมียนมา
และไม่ให้จัดกิจกรรมใดๆ ที่อาจขัดขวางความสัมพันธ์อันดีในอนาคต”

แต่รัฐบาลก็ปล่อยให้ก้าวไกล โดยนายรังสิมันต์ ใช้อาคารรัฐสภาเป็นเวทีสัมมนา ชนิดไม่อินัง-ขังขอบ

จัดสัมนาน่ะ จัดได้ ไม่มีใครว่า
แต่แค่หัวข้อสัมนา มันก็บ่งเจตนาชัดแล้วว่า ใช้ฐานะกรรมาธิการฯ “ซ่อนเจตนา” ในการจัด ใช่หรือไม่?

ก็ดูซี……..
-วิกฤตด้านมนุษยธรรมในเมียนมา
-บทบาทของสื่อในเมียนมา
-บทบาทของไทยในการจัดการกับสถานการณ์เมียนมา

แล้วคนที่เชิญมาเป็นวิทยากรในการสัมนา นอกจากนักวิชาการสาย “โปรอเมริกัน” แล้ว
ก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเงาของ “นางออง ซาน ซู จี” ที่เรียก “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ”
และพวก “กองกำลังติดอาวุธ” กลุ่มชาติพันธุ์

ในสถานที่จัดสัมนา ไม่บ่งทางสร้างสรร ด้านหาทางสู่สันติเลย ตรงกันข้าม เป็นเวทีปลุกเร้า สร้างกระแสแตกแยก-ทำลายชัดๆ

มีภาพวาดขนาดใหญ่ เป็นภาพปืนจ่อหัวผู้หญิง ใครดูก็รู้ว่า หมายถึงรัฐบาลพม่า ทำกับนางออง ซาน ซู จี
และภาพการชุมนุมของชาวเมียนมา ชู ๓ นิ้ว เหมือนก้าวไกล เพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา

นักวิชาการที่มาอภิปราย เช่น “ดร.ศิรดา เขมานิฎฐาไท” จาก ม.เชียงใหม่ “รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัช” จากธรรมศาสตร์
“เมย์ หว่อง” นักข่าวสถานีโทรทัศน์แชนแนลนิวส์เอเชีย สิงคโป ร์”ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง” จากจุฬา

“ศิปปชัย กุลนุวงศ์” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว AFP ประเทศไทย “กรุณา บัวคำศรี” จาก PPTV ช่อง ๓๖
“ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ทีวี ช่อง ๓๓ “ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” จากจุฬาฯ

และนอกจาก นายรังสิมันต์ โรม เป็นคนชง-คนสรุปแล้ว ดูเหมือน “นายพิธา-นายกฯว่าว” ก็ยังไปแจมกับเขาด้วย

เห็นหน้า-เห็นชื่อ ก็รู้ “เส้นสายในทางร่วม” ของแต่ละราย
จึงไม่จำเป็นต้องให้บอกว่าเป็นวงสัมนา “หวังดี” หรือ “หวังร้าย” ในการ “ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน?”

นายโรม ในฐานะประธานกมธ.ฯ ผู้จัด จะอ้างอะไรก็อ้างได้ แต่ในเวที “ที่พูด-ที่ทำ” กัน มันสร้างสรรค์หรือจัญไร ต่อการนำไฟเข้าบ้าน

ใจแต่ละคน ตอบตัวเองได้มิใช่หรือ?

ผมไม่กังวลเรื่องพม่าโกรธหรอก อยากสัมมนาตามใบสั่งอเมริกัน ก็ทำไป แต่ไม่ควรใช้ “สถาบันรัฐสภา” เป็นฉาก

เพราะทำให้คนเข้าใจว่า……
“ไทยเสือกเรื่องพม่า” เป็นสัญญานให้สังคมโลกเข้าใจประเทศไทย “เลือกข้าง” แล้ว!

ตกลง “เพื่อไทย” ของทักษิณ “ก้าวไกล” ของธนาธร
ฉากหน้า “แยกกันเดิน”
แต่ “ฉากหลัง” ยังคง “ร่วมกันตี” สู่เป้าหมาย

แดง+ส้มทั้งแผ่นดิน “ทักษิณสถาปนา” เหมือนเดิม ใช่มั้ย?

เปลว สีเงิน
๕ มีนาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
นายกฯ “หนีคุก” คนที่ ๓? – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เสียใจด้วยกับ “นักเลือกตั้ง” ทุกพรรค ยกเว้นพรรค “เพื่อไทย” ในจำนวนเต็ม ๕๐๐ ที่นั่ง ที่จะชิงกัน ขณะนี้...
Read More
0 replies on ““ศึก ๒ ด้าน” จาก “๒ พรรค” – เปลว สีเงิน”