คลิกฟังบทความ…⬇️
เปลว สีเงิน
อ้าว…แล้วกัน
“เศรษฐา-นายกฯ คนที่ ๓๐” ยังอยู่และขยันขันแข็ง เหมาเรือบินตั้ง ๓๐ กว่าล้าน ไปโชว์ตัวที่ยูเอ็นสัปดาห์หน้าอยู่เลย
แต่ไหง “พิธา-นายกฯว่าว”……
ประกาศ “ลาออก” จากหัวหน้าพรรคก้าวไกลซะล่ะ?
แล้วเก้าอี้นายกฯคนที่ ๓๑ ที่จองไว้ จะทำพินัยกรรมยกให้ใครดีล่ะ ระหว่าง “ชัยธวัช-ศิริกัญญา”?
และ ระหว่าง-วิโรจน์-อมรัตน์”?
เห็นมีคนโพสต์ดักคอว่าเป็นเทคนิคให้ “รองประธานสภาเบียร์คราฟต์” ไปอยู่พรรคอื่น และยังคงเป็น “รองประธานสภา”
โดยอ้างเหตุ กก.บห.ชุดใหม่ “ขับไล่ออกจากพรรค” เพราะฝ่าฝืนมติพรรคที่ให้ลาออกจากรองประธานสภาฯ แล้วไม่ยอมลาออก
การที่ไม่ยอมลาออก
นั่นทำให้หัวหน้าพรรคก้าวไกล “หมดสิทธ์” ที่จะเป็น “หัวหน้าฝ่ายค้าน” ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ
ก็ “สมเหตุ-สมผล” ในประเด็นไม่เป็นการเล่นละครตบตาเรื่องขับไล่ เพาะเมื่อถูกขับไล่ ก็สามารถไปหาพรรคสังกัดใหม่ได้ภายใน ๓๐ วัน โดยยังคงในตำแหน่ง “รองประธานสภา”
“วิน-วิน”ทั้งคู่!
ตำแหน่ง “รองประธานสภา” ก็เข้าทำนอง “เรือล่มในหนอง ซิฟิลิสจะไปซะทางไหนเสีย”
ตำแหน่ง “หัวหน้าฝ่ายค้าน” ก็ยังได้ กับก้าวไกลพรรคแกน!
เห็นพิธาโพสต์เฟซว่า…….
“๒๔ กันยายน ผมขอเชิญสมาชิกพรรคก้าวไกลมาพบกันอีกครั้งครับ ในงาน “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ณ อาคารกีฬาเวสน์ ๑ เขตดินแดง กรุงเทพฯ”
ทำไมต้อง ๒๔ กันยา.?
เออ..ผมก็สงสัยนะ แต่พอไปพลิกปฎิทินศาลรัฐธรรมนูญดู ก็พอเข้าใจ
ตอนนี้ลืมกันหรือยัง ว่าพิธาถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “พักปฎิบัติหน้าที่สส.” ด้วยเรื่องอะไร และเมื่อไหร่?
ก็เรื่อง “ถือหุ้น iTV ซึ่งเป็นหุ้นสื่ออยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้งสส.แบบบัญชีรายชื่อ” นั่นไงล่ะ
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๘(๓)เขาห้าม
แต่พิธารู้แล้วก็ยังฝ่าฝืน เป็นเหตุให้กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
๑๙ กค.๖๖ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีกันแล้ว
มีมติเป็นเอกฉันท์ …….
………สั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน
สำหรับคำที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ศาลฯ มีมติ ๗ ต่อ ๒
ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ ๑๙ กค.๖๖ จนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัย”
ศาลฯ ให้พิธายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน ๓๐ วัน
พอถึงกำหนด นายพิธา “ขอเลื่อน” ไปอีก ๓๐ วัน
ครั้นครบกำหนด เมื่อ ๒๑ สค.๖๖ นายพิธาก็ขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงออกต่อศาลฯ ไปอีก ๓๐ วัน
ศาลฯ ก็อนุญาตให้เลื่อนได้อีก ๓๐ วัน เป็นครั้งที่ ๒!
ก็ตก ๒๒-๒๓ กันยา.นี่แหละ ที่ครบกำหนดและน่าจะ “สิ้นสุดทางเลื่อน” แล้ว
ศาลฯ คงไม่ให้เลื่อนอีก เพราะเข้าข่ายประวิงเวลา “หน่วงเหนี่ยว” ให้คดีล่าช้าโดยเจตนา
เมื่อจนแต้ม-จนทาง ก็สวมบท “พระเอกยี่เก” นัดพ่อยก-แม่ยกก้าวไกล มาประชุมพล “เพื่ออ้อน”
“ประชุมพล” ก้าวไกล ก็จงระวัง
อย่าพลิกแพลงคำอ้อน จนกลายเป็นกะล่อนเกินเหตุล่ะ
มันจะนำไปสู่การ “ประชุมเพลิง” ก้าวไกลแทน!
เพราะพิธาต้องไม่ลืม……..
นอกจากเรื่องถือหุ้นสื่อ iTV แล้ว จำได้หรือเปล่า?
ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคำสั่งตามคำร้องที่ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า
การกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกล
ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่?
โดยนายธีรยุทธอ้างเหตุที่พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
และศาลฯ เลื่อนการ “พิจารณาคำร้อง” นี้ออกไปด้วย
เหตุจากที่ศาลฯ อนุญาตพิธากับก้าวไกล ให้ขยายระยะเวลาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไป เป็นครั้งที่ ๒ นั่นแหละ!
สรุป………
ทั้งตัวพิธา-ทั้งพรรคก้าวไกล ลูกผี-ลูกคน หรือ ลูกเทวดา ต่อให้ “พ่อเทวดา” ณ ชั้น ๑๔ รอยัล สวีท ก็ยังรับประกันไม่ได้!
นอกจากนี้ พิธา ยังมีอาญาพ่วงด้วย
มาตรา ๑๕๑ ระบุว่า……
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
ต้องระวางโทษจำคุก ๑-๑๐ ปี
ปรับ ๒๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาท
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ๒๐ ปี”
นี่ อาญามาตรานี้ มาก่อนเรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญกรณีคุณสมบัติด้วยซ้ำ
แต่จนป่านนี้ กกต.ที่ “พัดลมยังส่ายหน้า” ก็ยังงึกๆ งักๆ จนได้ชื่อว่า เป็นกกต.ยุค “ญาติระอา” ไปทั้งตำบลแล้ว!
ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องพรรคก้าวไกล จะไม่คุยถึงเรื่อง “เจ้าของพรรค” ก้าวไกลบ้าง ก็ดูเหมือนไม่สวมกางเกงในแล้วข้ามหัวกัน
ฉะนั้น เอาซะหน่อย
จำได้ใช่มั้ย เรื่องธนาธรุกป่าที่ราชบุรี จนเป็นคดีความเรื่องคาอยู่ที่อัยการจังหวัดราชบุรี นั้น
ต่อมา จากถูกฟ้องอาญา ธนาธรเป็นโจทก์ไปยื่นฟ้อง กระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองบ้าง
ขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมที่ดิน เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก.)ของเขา ที่ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี
เมื่อ ๑๓ กย.๖๖ นี้เอง “องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง” ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก
ปรากฎว่า ตุลาการผู้แถลงคดี เสนอความเห็นว่า
“ควรสั่งยกฟ้อง”
เนื่องจาก ก่อนรองอธิบดีกรมที่ดิน จะมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. จำนวน ๕๙ ฉบับ ซึ่งรวมถึง น.ส.๓ ก.แปลงของนายธนาธร
ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบเป็นไปตามหลักวิชาการแล้ว
พบว่า ตำแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.๓ ก.ทั้ง ๕๙ ฉบับ รวมทั้งที่ดินที่พิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กพ.๑๒ ทั้งแปลง
ที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จึงมีสถานะเป็นป่าไม้ถาวรตามมติครม.มาก่อนที่จะออก น.ส.๓ ก. ให้กับนายอุดม กิตติอุดมพานิช และนายชัยณรงค์ บู่ศรี ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ในปี ๒๕๒๑
เมื่อที่ดินทั้ง ๒ แปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร จึงเป็น “ที่ดินต้องห้าม” มิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
คำสั่งของรองอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอน น.ส.๓ ก.แปลงที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่เจ้าหน้าที่ที่ดินออก น.ส.๓ ก.ที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นการทำละเมิดต่อนายธนาธร ผู้ซื้อที่ดิน ที่เชื่อโดยสุจริตว่า ที่ดินดังกล่าวมีการออก น.ส.๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ๔ อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส.๓ ก.ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผลซึ่งเป็น ผู้ขายกับนายสาโรจน์ วสุวานิช ผู้ซื้อต่างได้รับทราบว่า
“ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ดินบริเวณนี้ได้”
โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ ๑๒ กย.๒๘ ไว้
และนายนายธนาธร ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้
จึงฟังได้ว่านายสาโรจน์ ขณะซื้อที่ดิน น.ส. ๓ก.แปลงพิพาทจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผลรู้อยู่แล้วว่า
ที่ดินอยู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส.๓ ก.และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออก น.ส.๓ ก.
วิญญูชนย่อมรู้ว่า มีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน
เมื่อนายสาโรจน์รู้ข้อมูลดังกล่าว แต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนายสาโรจน์สมัครใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง
ความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ต่อมา นายสาโรจน์ ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายธนาธรรับรู้ว่าที่ดิน น.ส.๓ ก.ดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้
แต่นายสาโรจน์ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทของครอบครัวนายธนาธร
ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัท ต้องไม่หลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริง ที่เป็นสาระสำคัญ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อที่ดินดังกล่าวได้
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธรจะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต
ดังนั้น การที่รองอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก.แปลงที่พิพาท จึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อนายธนาธรและหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้
ทั้งนี้ หลังนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว องค์คณะจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคดี
โดยองค์คณะได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น.
เอาละมังครับ….
วันนี้ เรียนกฎหมายใกล้หัวจะทิ่มบ่อกันอยู่แล้ว พวกที่มาวอแวกับผมระวังนะ ผมไม่ฟ้องหรอก
แต่จะไปร้องเรียนท่าน “รัฐมนตรีชาดา” เดี๋ยวจะว่าไม่บอก!
เปลว สีเงิน
๑๖ กันยายน ๒๕๖๖