วาเลนไทน์จาก “พิธา” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ผมนี่…เหมือน “ปลาไม่รู้จักน้ำ” อย่างนั้นจริงๆ!
เมื่อวาน (๑๓ กพ.๖๗)
ตำรวจจับนักข่าวเว็บประชาไทและช่างภาพอิสระไปดำเนินคดีในข้อหา
“สนับสนุนการทำให้โบราณสถานเสียหาย จากการทำข่าวการฉีดสเปรย์สัญลักษณ์ต่อต้านมาตรา ๑๑๒ ใส่กำแพงพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) เมื่อ ๒๘ มีค.๖๖”

คงเห็นหน้าผู้ต้องหาและเหตุการณ์จากข่าวโทรทัศน์แต่ละช่องกันตอนเย็นวานแล้วนะ

จะเห็นว่ากลุ่มสามนิ้วนี้ เขาทำกันเป็นขบวนการ พอถูกจับ ก็มาห้อมล้อมกันเป็นขบวนการ สร้างบรรยากาศปลุกเร้าให้ของขึ้น

ทำให้คนที่ถูกจับ “ใจกล้า-ขาสั่น” แอกชั่นหน้ากล้องโชว์ให้พรรคพวกเก็บภาพ-เก็บคำพูดเท่ๆ ไปโปรโมทในบท “ฮีโร่สามนิ้ว” ได้ชื่นชมกันต่อๆ ไป

ผมได้ยิน “นายกฤษฎางค์ นุตจรัส” ทนายสิทธิมนุษยชน ที่มาทำหน้าที่ทนายให้นักข่าวประชาไท ให้สัมภาษณ์เป็นความเห็น

“สื่อมวลชนไม่ใช่อาชญากร…สื่อมวลชนไม่มีเสรีภาพ ไปถ่ายรูป ทำข่าวเผยแพร่ตามหน้าที่สื่อ ทำไมต้องถูกจับ” ประมาณนั้น

ฟังแล้ว ผมจึงเกิดสภาพ “ปลาไม่รู้จักน้ำ” อย่างที่บอกนั่นไงล่ะ!?

คือ ผมอยู่ในอาชีพข่าวมากว่า ๕๐ ปี
บอกตรงๆ…..
ไม่เคยเอ่ยปากกับใคร-ที่ไหนเลยว่า “ผมเป็นสื่อมวลชน” เว้นแต่คนอื่นเขาเรียก

จำเป็นที่สุด ก็บอกเป็น “นักข่าว” พร้อมโชว์บัตรประจำตัวที่ “กรมประชาสัมพันธ์” ออกรับรองความ “เป็นนักข่าว” ชนิดเป็นทางการให้เขาดู

ครั้นมาสมัยนี้ แค่มีกล้อง มีมือถือ ทำเพจ ทำเว็บ เผยแพร่ภาพและข้อความตามใจชอบ ทุกคนก็เป็นนักข่าว-เป็นช่างภาพ ตามนัย “สื่อมวลชน” ได้หมด

ผมจึงงงว่า แล้วกูมีสิทธิ์ได้เป็น “สื่อมวลชน” กะเขาหรือเปล่าวะเนี่ย?
และมาตรฐานรับรองการ “เป็นสื่อมวลชน-ไม่เป็นสื่อมวลชน” มันอยู่ตรงไหน ใครเป็นคนกำหนด?
จรรยาบรรณกำหนด หรือโจราบรรณกำหนด?

ยิ่งเห็น “สมาคม-สมาพันธ์สื่อ” แก๊ง “แอมเนสตี้” และทนายความ พุ่งปร๊าดออกมาจากมุมมืด-มุมสว่างในทันที ที่ตำรวจจับคนขบวนการนี้

พร้อมสถาปนาคนกลุ่มนี้เป็น “สื่อมวลชน” เต็มปาก-เต็มยศ
แล้วรุมคัดค้าน ประณามว่า ตำรวจคุกคามสื่อบ้าง สื่อมวลชนไม่มีเสรีภาพบ้าง

ผมยิ่งงงในงง!??

ถ้าสื่อมวลชนมีพฤติกรรม, เป้าหมายในการทำสื่อเพื่อ “กัดกร่อนบ่อนเซาะสถาบัน” และทำเป็นขบวนการ ลักษณะนี้

-มีคนไปพ่นสเปรย์ใส่กำแพงพระบรมมหาราชวัง
-มีคนไปทำข่าว มีคนไปถ่ายภาพ และมีคนนำภาพไปใส่เพจ-ไส่เว็บเเผยแพร่

ถ้าเรียกคนเหล่านี้ว่า “สื่อมวลชน” ตรงตามความหมายและตามจรรยาบรรณของคนเป็นสื่อจริงละก็
ผมคงเป็นได้แค่ “ส้นตีนชน” เท่านั้น!?

เพราะไม่มีคุณสมบัติเป็น “สื่อมวลชน” ตามมาตรฐานทนายสิทธิมนุษยชนและสมาคม-สมาพันธ์นักข่าวได้เลย!

นี่ก็เป็น “สิ่งทะท้อนคิด” ในคำว่า “สื่อมวลชน”

สมัยนี้ เพาะพันธุ์ง่าย ยิ่งกว่าเพาะพันธุ์ตะกวดซะอีก!

เพื่อเป็นวัคซีนป้องกันความเข้าใจผิดจากข่าวบิดเบือน ด้านว่า “นักข่าว-ช่างภาพ” ไปทำหน้าที่สื่อ ทำไมต้องถูกจับ?

ผมขออนุญาตรายการ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ทางช่อง ๓ นำหลักฐาน จากกล้องวงจรปิด สู่การจับกุม จากที่ตำรวจเปิดเผย มาเผยแพร่ต่อ

โดยเห็นผู้สื่อข่าวประชาไท และช่างภาพอิสระ นัดเจอมือพ่นสี กับพวก หนึ่งวันก่อนก่อเหตุพ่นข้อความบนกำเเพงวัดพระเเก้ว

จากกล้องวงจรปิดพบว่า….
ช่วงเย็นถึงค่ำ ก่อนเกิดเหตุพ่นสี ณัฐพลพร้อมกับพวก ซึ่งมีบางคนร่วมกันก่อเหตุพ่นสีที่บริเวณกำแพงวัดพระแก้ว

ไปหารือวางแผนและสำรวจสถานที่ก่อน ที่บริเวณหน้าศาลฎีกา สนามหลวง

จากนั้น วันเกิดเหตุ คนกลุ่มเดิมไปรวมตัวกัน ๑๖.๐๐ น.กระทั่ง ๑๗.๔๐ น.ถึง ๑๘.๐๐ น.ทุกคนเข้าประจำจุดและทำหน้าที่ของตัวเอง

ระหว่างที่นายศุทธวีร์ ผู้ต้องหาพ่นสี ดำเนินการก่อเหตุ
นายณัฐพล ผู้สื่อข่าว และนายณัฐพล ช่างภาพอิสระ ทำหน้าที่ถ่ายภาพ

ส่วนผู้ร่วมกลุ่มอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ทำหน้าที่ไลฟ์สดอีกคนเป็นชาย ทำหน้าที่ถ่ายวิดีโอ

ส่วนเพื่อนร่วมกลุ่มที่ทำหน้าที่อีกคนหนึ่ง ทำหน้าที่ถ่ายภาพนิ่ง
และสุดท้ายคือ “ตะวัน” เป็นคนกระจายคลิปและภาพต่างๆ ลงสื่อโซเชียล

ภาพจาก “วงจรปิด” พบว่า…

นายณัฐพลเข้าที่เกิดเหตุก่อนจะมีการก่อเหตุและมีพฤติกรรมถ่ายภาพ

นายศุทธวีร์ เตรียมดำเนินการและกำลังดำเนินการ ถ้าไม่ทราบแผนมาก่อน จะไม่สามารถนำอุปกรณ์มาถือรอถ่ายภาพขณะเกิดเหตุได้

นอกจากนี้ ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด ในเรื่องของการนัดพบปะกันของคนกลุ่มนี้ล่วงหน้าด้วย

นี่ไง “คุณสมบัติความเป็นสื่อมวลชน” ของสังคมยุคใหม่ ส่วนผมมันยุคไดโนเสาร์ ไข่เป็นหิน สูญพันธุ์ไปนานแล้ว

ฉะนั้น ขอถอนตัวจากความเป็นสื่อไทยยุคใหม่ ไปอยู่ในสถานะ “ส้นตีนไดโนเสาร์”!

เมื่อวาน นอกจาก “ตำรวจจับสื่อ” ฐานสนับสนุนพ่นกำแพงพระบรมมหาราชวังแล้ว
ตำรวจสน.ดินแดงยังไปจับ “ทานตะวัน ตัวตุลานนท์-ณัฐนนท์ ไพโรจน์” ที่ป่วนขบวนเสด็จฯด้วย

คือตำรวจนำตัวนักข่าว-ช่างภาพ “พ่นกำแพง” ไปฝากขังศาล ทานตะวัน ก็ยกกันไปแห่ห้อมเป็นโขยง ตำรวจทราบก็ตามมาจับ

ผู้กำกับสน.ดินแดง แม้อยู่ในวงล้อมสามนิ้ว ก็จับกุม-คุมตัวไป “ตะวัน-ณัฐนนท์” ได้แบบมีจิตวิทยามวลชน ขอชม

พวกนี้เขาต้องเข้าคอร์สฝึกซ้อม-ท่องจำบทนักสู้สามนิ้ว ไว้โชว์หน้ากล้อง

ถ้าสังเกตจะเห็น แต่ละคนจะ “นกแก้ว-นกขุนทอง” ในบทสิทธิเสรีภาพ บทเรียกหาพื้นที่แสดงออก บทเรียกร้องความยุติธรรม
และลงท้าย “ปล่อยเพื่อนกู”!

ตอนอยู่ในพวก-ในหมู่ ละก็คึกนัก
แต่พอเข้าคุก-เข้าตะราง นานๆ ไป พรรคพวกก็จาง แยกย้ายไปหาจ๊อบใหม่ ปล่อยให้วีรบุรุษ-วีรสตรีสามนิ้ว เป็นนิ่วปวดตับเดียวดาย

ทีนี้แหละ ไม่อดข้าวเรียกร้องความสนใจ ก็นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า วัยหนุ่ม-วัยสาว สูญเปล่าไปกับข้าวแดงแกงส้มผักบุ้งหัวปลาเทโพ!

“ความกล้า” ไม่ฆ่าคน
“ความกลวง” ในอุดมการณ์แก๊งร่วมหาแดกในทางล้มเจ้า นั่นตะหาก คือ “มายาภาพ” ที่ศาสดาใต้กระโปรงปั่นกะโหลกใช้ และไปจบที่คุก!

เอาละ วันนี้ ๑๔ กุมภา.เป็นวันวาเลนไทน์ มีจดหมายฝากรักอยู่ฉบับ อ่านนะ…ยู้ฮู..ยู้ฮู
…………………..

สวัสดีครับ ตะวัน & แบม

พี่ทิมเองนะ เป็นไงบ้างวันนี้ พอจะหลับตานอนได้บ้างไหม? หวังว่าจะไม่อาเจียนเยอะเหมือนวันก่อนก่อน ๆ นะ จริงๆ พี่ก็แอบตามอาการจากหมอกับทนายอยู่เรื่อย ๆ เป็นห่วงเสมอ

พี่ได้พูดตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วนะ ทั้งในสภาและนอกสภา ในสภา พี่เจี๊ยบพูดกลางสภาวันต่อมา พี่พูดนอกสภา สื่อสารกับเพื่อนตะวัน & แบม ประชาชน

ให้เขาเข้าใจความตั้งใจ ปณิธานอันแรงกล้าของทั้ง 2 คน เกี่ยวกับสิทธิประกันตัวขั้นพื้นฐาน ที่ควรมีอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่แรก

ความเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่ตะวันกับแบมมีให้คนที่โดนฝากขัง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีคำพิพากษา รวมถึงข้อเรียกร้องสามข้อที่ได้ประกาศไว้

วันนี้ มาอยู่ธรรมศาสตร์ คณะราษฎรยกเลิก 112 มายื่นหนังสือ ทุกคนเป็นห่วงทั้งคู่มากๆ
และได้มาพูดข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ต่อหน้าคนมากมาย อย่างที่เราคุยกันผ่านจอมอนิเตอร์ในเรือนจำ

ผมคารวะหัวจิตหัวใจความกล้าหาญของทั้งคู่มากๆ ผมเองละอายใจ แต่ต้องยอมรับอย่างตรงไป ตรงมาว่า วันนี้สังคมได้ลืมตาตื่นขึ้น

เห็นถึงความวิปริต บิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพราะผม เพราะพรรคก้าวไกล
แต่เพราะพวกคุณ พวกเราทำน้อยเกินไป พวกคุณคือคนผลักดันสังคมมาถึงจุดนี้

เชื่อผมเถอะว่า ภารกิจของพวกคุณสำเร็จแล้ว
สำเร็จอย่างสวยงามที่สุด

ที่พลเมืองคนหนึ่งที่ไร้อำนาจ ใร้พลังต่อรองใดๆ จะทำได้

แต่คุณรู้ดีกว่าผม ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ภารกิจของคนใดคนหนึ่ง และยิ่งคนจำนวนมากร่วมกันทำเท่าไร มันก็ยิ่งสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น

ภารกิจในส่วนของคุณสมบูรณ์แล้ว

จากนี้ไป เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะทำในส่วนของเรา ผมและพรรคก้าวไกลจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อผลักดันการยุติการใช้กฎหมาย 112, 116 และกฎหมายอื่นๆ กดขี่ ริดรอนเสรีภาพของประชาชน

เราจะทำเต็มที่ในสภา และผมเชื่อว่าจะมีคนอีกมาก ที่ถูกเรื่องราวของคุณผลักดันให้ออกมาต่อสู้นอกสภา
เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยกัน

และผมต้องการให้คุณอยู่ร่วมฉลองชัยชนะของประชาชนร่วมกันกับเราทุกคน

ขอคารวะในความกล้าหาญของคุณทั้ง 2 คน
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
28 มกราคม 2566
………………………..

รักนะ จุ๊บๆ วาเลนไทน์!

เปลว สีเงิน
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

 

Written By
More from plew
“โลกศาสตร์-จิตศาสตร์” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ผมเป็นคนไทย ตอนนี้ ยังอิจฉาประเทศไทยเลย ก็ทั้งโลก….. กำลังทุกข์ขุกเข็ญ ทั้งภัยเศรษฐกิจ ภัยสงคราม ภัยโรคระบาด ทั้งหากินฝืดเคือง ยากจนค่นแค้น...
Read More
0 replies on “วาเลนไทน์จาก “พิธา” – เปลว สีเงิน”