ผักกาดหอม
ไหนบอกว่าคนเท่ากัน
เรื่องที่ “ทิม พิธา” ถูกขุดโพสต์เก่าใน อินสตาแกรม @tim_pita บรรดา “ด้อมส้ม” ไม่หือไม่อือ ไม่อยากรู้ว่าความจริงคืออะไร
ราวกับว่า โกหก ไม่เป็นไร ยก daddy ทิม ไว้หนึ่งคน
ส่วนคนอื่นเอาถึงตาย
นี่คือความ “ลุ่มหลง” บดบัง ความจริง
ใช้กับ เซเลบ ดารา คนดังได้
แต่มาใช้กับนักการเมือง ประเทศจะฉิบหายเอานะครับ
ผู้แทนปวงชนมาจากความลุ่มหลงของมวลชน ก็ไม่ต่างจากมวลชนสร้างการเมืองที่จอมปลอมขึ้นมา สุดท้ายแล้ว ไม่ตรงปก
ได้คนไร้ความสามารถ แถมยังเป็นภาระกับประเทศ
ช่วงนี้เห็นพูดถึงบ้านเก่าคุณยายกันเยอะ ก็อยากรู้ว่าเป็นไปได้หรือเปล่า คุณยายสมัย ร.๕ จะมีหลานอายุ ๔๓ ปี
เรื่องมันเริ่มเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ อินสตาแกรม @tim_pita โพสต์รูปบ้านและข้อความระบุว่า
“My grandmother used to live in this house almost 1 century ago บ้านเก่าคุณยาย”
(ยายของผมเคยอาศัยที่บ้านหลังนี้เมื่อเกือบ ๑ ศตวรรษที่ผ่านมา)
ประวัติของ “พิธา” เขียนไว้ว่า หลังการเสียชีวิตของบิดาด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด พิธาตัดสินใจพักการศึกษาและกลับมาประเทศไทยเพื่อดูแลธุรกิจน้ำมันรำข้าวที่เป็นหนี้ต่อ สองปีหลังจากนั้นธุรกิจฟื้นตัวและทำให้พิธากลับไปยังสหรัฐเพื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาโทต่อใน พ.ศ. ๒๕๕๔
พิธายังเป็นกรรมการบริหารบริษัท แกร็บ ประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑
เป็นอันว่าโพสต์นี้ เกิดขึ้นก่อนที่ “พิธา” จะเข้าสู่การเมือง
ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงเรื่อง “บ้านเก่าคุณยาย” แต่อย่างใด
ผู้รู้อย่าง “เทพมนตรี ลิมปพยอม” สามารถเล่าเรื่อง บ้านคุณยาย ตามรูปที่ “พิธา” โพสต์ ซึ่งก็คือจวนเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่พระตะบอง กัมพูชา ได้ดีที่สุด
โพสต์ของ “เทพมนตรี” มีรายละเอียดดังนี้ครับ
——————————
พิธาควรขอขมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์และทายาทตระกูล “อภัยวงศ์”
การอ้างว่าตึกจวนสมุหเทศาภิบาลมณฑลบูรพาเมื่อแรกสร้าง เคยเป็นที่พำนัก “บ้านคุณยาย” นั้นหมายถึงคุณยายของคุณพิธาต้องเป็นบุคคลสำคัญเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลอภัยวงศ์เป็นอย่างดี และเป็นบรรพบุรุษของคนในตระกูลอภัยวงศ์สายใดสายหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าทายาทคนในตระกูลอภัยวงศ์ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้จักคุณพิธาและไม่เคยนับเป็นเครือญาติ และคนในตระกูลเขามีรหัสประจำตัวเมื่อแรกเกิด คำถามที่ตามมาก็คือ คุณพิธามีคุณยายเป็นบรรพบุรุษในตระกูลนี้ แล้วคุณแม่ที่ชื่อ ลิลฎา นามสกุล อภัยวงศ์ ด้วยหรือไม่ และรหัสประจำตัวคุณพิธามีหมายเลขอะไร
การไม่ตอบคำถามคือการไม่แสดงความรับผิดชอบ ในฐานะผู้แทนราษฎรที่ชิงชัยในศึกเลือกตั้งแต่มีปัญหาเรื่อง “ปากมาก ปากมัน พูดสนุกปาก” เสมอมา
สังคมไทย คงไม่คาดหวังอะไร เพราะวาดหวังกับคนเยี่ยงนี้ไม่ได้
คุณพิธา พูดถึง ตึกหลังงามศิลปะแบบโคโลเนียล ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาที่สยามยังมีปัญหาหนักกับอินโดจีนฝรั่งเศส และพึ่งเสียดินแดนที่อ้างว่าจะอาศัยพรมแดนธรรมชาติเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสุดท้ายในอนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงโทมนัสกับราชการงานเมืองที่ว่านี้ ทรงตระหนักถึงปัญหาในระบบการเมืองการปกครอง มีพระราชปณิธานอย่างวิริยอุตสาหะในการพัฒนาบ้านเมืองให้มีความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงปฏิรูปการปกครองสร้างระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมาโดยหวังว่าเราจะไม่ต้องสูญเสียดินแดนให้อินโดจีนฝรั่งเศสหรืออังกฤษอีก
และบ้านคุณยายที่คุณพิธาอ้างนั้น ก็คือที่ทำการมณฑลเทศาภิบาลมณฑลบูรพา ซึ่งปกครองท้องที่สามเมืองใหญ่คือเสียมราฐ ศรีโสภณ และพระตะบอง ผมจึงไม่คิดว่าคุณพิธาจะกล้าดีแอบอ้างเรื่องนี้ขึ้นมา
ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ก็ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงที่จะอ้างคุณยาย ไปล้อเลียน ท่านเจ้าของตึกหลังนี้ เพราะมันมีความหมายเป็นอนุสรณ์เตือนใจ แรกสร้างตึกหลักนี้เสร็จไม่เกิน ๒ ปี สยามต้องเสียดินแดน ๓ เมืองในมณฑลบูรพาให้ฝรั่งเศสตามสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์และครอบครัวเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยได้ตัดสินใจที่จะเทครัวออกจากพระตะบองไปพำนักในดินแดนตอนในที่เมืองปราจีนบุรี สิ่งที่ลงทุนลงแรงไปก็เสียประโยชน์โดยสิ้น ตึกที่สร้างขึ้นมาต้องมอบเป็นส่วนควบให้อินโดจีนฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมนำไปเป็นที่ทำการฟรีๆ
คุณพิธาเคยคิดไหมว่า ความสนุกปากกับมือที่เขียนเพื่อให้ได้แสงในครั้งนั้น มันเป็นความคิดอย่างไร้มารยาท ไม่มีความเห็นอกเห็นใจทายาทในตระกูลอภัยวงศ์ และเป็นการแอบอ้างนำเอาบาดแผลทางประวัติศาสตร์มาใช้เป็นเครื่องสนองตัณหาความอยากดูดีของตนให้สาวกได้ปลาบปลื้ม
ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ท่านจึงนำเอาแบบแปลนของตึกหลังนี้ไปสร้างที่เมืองปราจีนบุรีอีกครั้ง เพราะคงรักหวงแหนอาลัยต่อตึกหลังนี้ ตั้งใจมั่นให้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ประทับ แต่ก็สวรรคตเสียก่อน
ผมจึงมองว่าคุณพิธา ควรออกมาแสดงความรับผิดชอบ สารภาพผิดในครั้งนี้ ประกาศขอขมาให้สาธารณชนได้ทราบต่อดวงวิญญาณท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เสีย…..
….จึงจะเรียกได้ว่าเป็นพ่อเทพบุตรจุติมาในโรงยี่เก!
————————–
ครับ…ที่จริงอยากฟังความสองข้าง แต่น่าเสียดายอีกข้างอมสากอยู่
“พิธา” มีนักประวัติศาสตร์ชั้นเอกที่หนึ่งอย่าง “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” คอยลูบหลังอยู่ น่าจะมีความเคลื่อนไหวในเชิงประวัติศาสตร์บ้าง
แต่เงียบกริบ!
ฉะนั้นก็ควักเครื่องคิดเลขมาลองบวกลบคูณหารกันดูครับ
พิธาเป็นลูกของ “พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์” กับ “ลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์”
ทั้งคู่อายุเท่าไหร่ ไม่ทราบจริงๆ ถามอากู๋ก็ไม่ได้ความ
รู้แต่ว่า “พิธา” เป็นหลานลุง “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์”
“ผดุง” เกิดปี ๒๔๙๒
พ่อ-แม่ “พิธา” จึงต้องอายุน้อยกว่า “ผดุง” แต่น้อยกว่าเท่าไหร่ไม่ทราบ
และมีแนวโน้มสูงว่า “ลิลฎา” จะอายุน้อยกว่า “พงษ์ศักดิ์”
หรือโอกาสที่อายุจะมากกว่า “ผดุง” น้อยมากๆ
ฉะนั้นยืนพื้นที่ปี ๒๔๙๒
คุณยายของ “พิธา” คือ แม่ของแม่ “พิธา”
เนื่องจากจวนเจ้าพระยาอภัยภูเบศรถูกรัฐบาลกัมพูชา ในปกครองของฝรั่งเศสยึดไปตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนไทยต้องยอมเสียมณฑลบูรพา อันได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสในสงคราม ร.ศ. ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖
ถ้าคุณยายอยู่บ้านนี้จริง ก็ต้องอยู่ก่อนปี ๒๔๓๖
ไม่ทราบว่าปีนั้นคุณยายอายุเท่าไหร่ แต่ถ้า ๑ ขวบ ก็เท่ากับว่า คุณยายมี “ลิลฎา” ตอนอายุ ๕๖ เป็นอย่างต่ำ
ถ้าอยู่ตอนสาวๆ อายุ ๒๐-๓๐ ก็บวกเข้าไป
ในทางการแพทย์ โรคหลอกตัวเอง โกหกเก่ง เป็นโรคจิตเวช
ฉะนั้นการลุ่มหลง กับคนโกหกเก่ง ถ้าไม่ฉิบหายจะเรียกว่าอะไร