ทำไมต้องปกป้องสถาบันฯ #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

เผ่นไปอีกราย..

ที่จริงก็หนีไปพักหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งจะมาประกาศเป็นทางการเมื่อวานนี้ (๑๕ กันยายน)

หลังศึกษาเส้นทางธรรมชาติอยู่พักใหญ่ “ไมค์-ภานุพงศ์ จาดนอก” แกนนำ ๓ นิ้ว ใช้เส้นทางเดียวกันกับ “เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์” หนีเข้าประเทศเพื่อนบ้าน

มีคนไปรอรับให้ความช่วยเหลือ กระทั่งสามารถนั่งเครื่องบินออกจากท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญได้สำเร็จ

ข่าวบางกระแสบอกว่าทั้งคู่หนีไปพร้อมกัน ก็มีความเป็นไปได้ เพราะทั้งคู่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะอีกเลยในช่วงเวลาไล่ๆ กัน

ขณะที่ทีมช่วยเหลือนี้ยังอยู่ครับ

และเงินทุนจากนักการเมืองผู้รวยทรัพย์ยังเหลืออีกพอสมควร

เตรียมรับผู้ประสงค์ลี้ภัย รายต่อไป

สำหรับ “ไมค์” ว่าไปแล้วเปิดเผยกว่า “เพนกวิน” ตรงที่ หนีสำเร็จก็เขียนลาจากแจ้งกับมวลชน แต่ “เพนกวิน” วันนี้ยังเงียบกริบ

คาดเดาว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่คือ ฝรั่งเศส

ที่นั่นมีความพร้อม ทั้งในแง่เงินช่วยเหลือ ที่อยู่อาศัย

ก็…สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณภาพระดับหนึ่ง

ที่สำคัญมี “รุ่นพี่” เพียบ!

“ไมค์” เขียนข้อความถึงมวลชนว่า….

“…สวัสดีมวลชนที่เคารพรักทุกท่านครับ

วันนี้ผมขอใช้พื้นที่นี้เล่าเรื่องราวของการตัดสินใจครั้งที่ยากที่สุดในชีวิต นั่นคือการจากบ้าน จากครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ‘แม่’ ผู้เป็นที่รัก เพราะการตัดสินใจย้ายประเทศในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะทิ้งสิ่งใด แต่เกิดจากความจำเป็น และความหวังในการแสวงหาชีวิตใหม่ที่ปลอดภัยและมีเสรีภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม

การตัดสินใจออกจากประเทศ ผมพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบที่สุด ทบทวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ว่าจะกระทบกับใครมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อความคิดนั้นตกตะกอน จึงรู้ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้มาจากตัวผม แต่ต้นเหตุสำคัญที่แท้จริงเกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม ได้กระทำย่ำยีกับพวกเราจนหลายคนต้องสูญเสียอิสรภาพและเลวร้ายที่สุดคือการจากลา

ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมเข้าใจดีว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การที่ผมต้องออกจากประเทศไทย ไม่ใช่เพราะความอ่อนแอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ความไม่ยุติธรรมที่ผมได้รับ ความไม่ปลอดภัย การถูกจำกัดเสรีภาพ และการที่ผมไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่เชื่อมั่นได้ ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกหนทางใหม่

ซึ่งการจากกับแม่นั้นเจ็บปวดที่สุด แม่ผู้เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายที่ผมมีในชีวิต แต่สถานการณ์ที่บีบบังคับทำให้เราสองคนต้องแยกจากกัน และการที่ต้องจากกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายได้ คงมีเพียงคราบน้ำตาบนใบหน้า และความรู้สึกที่จุกอยู่ภายในใจของผม

แต่ในความเศร้าและความเจ็บปวด ผมยังมีความหวังเสมอว่าวันหนึ่ง ผมจะสามารถกลับไปดูแลแม่ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต หรืออย่างน้อยที่สุด ผมจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อคลายความกังวลของคนเป็นแม่ ให้เขาได้สบายใจที่เห็นอนาคตของลูกเป็นไปได้ด้วยดี

และผมยังหวังอีกว่า ผมจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อนักต่อสู้ทุกคนให้อารยประเทศได้รับรู้ถึงการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย และเรียกร้องอิสรภาพให้กับคนที่ถูกดำเนินคดีจากความเห็นต่าง และเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมืองทุกคน ในฐานะพลเมืองโลก

ด้วยความเคารพและขอบคุณจากใจ

ภาณุพงศ์ จาดนอก…”

ก็เหมือนจดหมายธรรมดาทั่วไป

ใครๆ ก็รักแม่

ยามมีเหตุต้องลาจาก มันก็บีบหัวใจ เพราะแม่คือทุกสิ่งทุกอย่าง

“ไมค์” น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ไปแล้วคิดถึงแม่

ขณะที่ ทนายอานนท์ ซึ่งอยู่ในคุกขณะนี้ ก็คิดถึงลูกทุกวันผ่านทางทีมงานโพสต์ออกโซเชียล

กลายเป็นขณะนี้ ม.๑๑๒ ได้พรากลูก พรากแม่ จากแกนนำสามนิ้ว

ครับ…ต่างกับเมื่อครั้งทั้งหมดอยู่บนเวทีปราศัยอย่างสิ้นเชิง

ครั้งนั้นพูดเหมือนๆ กัน ตายเพื่อประชาธิปไตยก็ยอม

ประเด็นคือทำไม ม.๑๑๒ ถึงมีปัญหาเฉพาะกับบางคน

ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ อาจแค่ ๐.๐๑ ของพลเมืองทั้งประเทศเท่านั้น

เท่าที่ทางฝั่งสีส้มเขาไปรวบรวม คนที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดี ม.๑๑๒ ร่วมๆ ๓๐๐ คน

หลายคนชนะคดี แต่มีการพูดถึงไม่มากนัก

จดหมายของ “ไมค์” สะดุดตรงที่ การโทษกระบวนการยุติธรรม ว่าไม่ยุติธรรม

กระบวนการยุติธรรมกระทำย่ำยี จนหลายคนต้องสูญเสียอิสรภาพ

และเลวร้ายที่สุดคือการจากลา

จู่ๆ กระบวนการยุติธรรมก็เข้าเล่นงานแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลยอย่างนั้นหรือ

การแสดงออกในสิ่งที่เชื่อมั่น มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย

ไม่งั้นโลกนี้อยู่ไม่ได้หรอกครับ

ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือสิ่งที่คนไม่ว่าจะเชื่อมั่นในเรื่องอะไรก็ตาม จะต้องรับรู้

โพสต์ของ “อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร” อธิบายประเด็นนี้ไว้อย่างละเอียดครับ

“…ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าระบอบสาธารณรัฐ ที่เป็นรูปแบบการปกครองที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์

เพราะระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญมีทั้งการให้ความสำคัญต่อหลักและคุณค่าประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐที่ดำรงอยู่สืบเนื่องมายาวนาน ก่อนที่จะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย

การธำรงไว้ซึ่งระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องปกป้องประคับประคองทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาให้เหมาะสมพอดี มิให้เทเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งจนทำให้ระบอบไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ไม่ว่าจะเป็นการเอียงไปทางสถาบันพระมหากษัตริย์มากจนเกินไปจนไม่มีความเป็นประชาธิปไตย

หรือเอียงไปทางประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาสุดโต่งมากจนเกินไปจนกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ…”

ครับ…สาเหตุที่พยายาม เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ด้วยการก่อคดี ม.๑๑๒ มันก็มาจากสาเหตุเดียวคือ

ต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครอง

ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

เอาเป็นว่าถ้า “ไมค์” ไม่หนี ตอนนี้คุก ๓ ปีครับ

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from pp
นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สำหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ
13 พ.ค. 63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมคณะแพทย์ศาสตร์...
Read More
0 replies on “ทำไมต้องปกป้องสถาบันฯ #ผักกาดหอม”