เขาชื่อ ‘สุทิน คลังแสง’ – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

พับผ่าเถอะ….ให้ดิ้นตาย!
จะลด “นายพล” กี่ร้อยคน ก็ลดไป
แต่ขอเสนอ “๓ เหล่าทัพ” ช่วยพิจารณาอวยยศ “นายพลเอก” กิตติมศักดิ์ให้รัฐมนตรีกลาโหม “นายสุทิน คลังแสง” ซักคนเถอะ!
ผลงานรัฐมนตรีหมอลำท่านนี้ ไม่เพียงเข้าตา หากแต่ “ทิ่มเข้าไปในลูกตา” ผมเลย
ยิ่งฟังท่านลุกขึ้นโต้เรื่องงบกลาโหม ที่ฝ่ายค้านบอก “เพิ่มมากขึ้น” ทุกปีด้วยแล้ว
“คักอีหลี” แท้เด้อ!

ต่อให้รัฐมนตรีกลาโหมที่ชื่อ “พลเอกประยุทธ์” ชี้แจง ก็ยังสู้รัฐมนตรีกลาโหมหมอลำ “สุทิน คลังแสง” ไม่ได้
ไม่เชื่อลองฟัง…

“จากเดิมผมเคยคิดว่า งบกองทัพนั้นสูง แต่เมื่อมาดูจริงๆ แล้ว เมื่อเทียบกับกระทรวงอื่น ถือว่าไม่เยอะ
การจัดงบประมาณของกองทัพ ไม่ได้จัดบนฐานของงบประมาณปีเดิม แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของประเทศ
หากมีภัยคุกคาม ก็ต้องจัดงบเพิ่มขึ้น

และยังต้องดูศักยภาพของประเทศคู่แข่ง และขอย้ำว่า งบกองทัพเป็นการเพิ่มขึ้นใน “สัดส่วนที่ลดลง”
จี๊ดดดเลยอ่ะ…ท่าน!

ประเด็น “ลดกำลังพลทหาร” ก็เหมือนกัน
ถ้ารัฐมนตรีกลาโหมเป็นคนอื่น คงต่อความยาวสาวความยืดกันหลายยก แต่รัฐมนตรีกลาโหม “หมอลำ” พูดแค่ประโยคเดียว
จบ…พวงมาลัยมาตรึม ทั้งฝั่งทหารและฝั่งพลเรือน

บิ๊กสุทินบอกว่า….
“การปฏิรูปจะให้ทำรวดเร็วดังใจไม่ได้ ต้องคำนึงถึงขวัญและกำลังใจของกำลังพล”!

เรื่องนายพล “ล้นกองทัพ” ก็เหมือนกัน ตอบหน้านิ่งสไตล์บิ๊กสุทิน
“นายพลตอนนี้มีอยู่ ๗๐๐ กว่าคน ในปี ๒๕๗๐ จะลดลงเหลือ ๓๘๐ คน ทั้งนี้ยังมีโครงการ “เออร์ลี รีไทร์” เพื่อลดจำนวนนายพลให้เร็วขึ้น ทำให้งบประมาณลดลง”

ที่ตอบได้เจ๋งระดับ ๕ ดาว ต้องนี่เลย……
“เรื่องการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ผมต้องขอความเป็นธรรม

เพราะรัฐบาลก่อนทำเอาไว้ ผมแค่เข้ามาแก้ แต่แก้ทางไหนก็โดน ทั้งเดินหน้าต่อ
ตอนเป็นฝ่ายค้าน ก็เคยด่าไว้ ถ้าไม่เดินต่อ แต่เปลี่ยนเป็น “เรือฟริเกต” แทนก็โดน

และหาก “ยกเลิกสัญญา” แล้วได้เงินคืนเลย ผมพร้อมยกเลิก แต่ไม่ได้เงินคืน เหมือนเสียเงินทิ้ง ๖,๐๐๐ กว่าล้าน
และทางประเทศไทยเอง ก็เคย “ผิดสัญญา”
จ่ายเงินจีนไม่ตรง!

คือช่วงโควิด ต้องนำเงินไปซื้อวัคซีน ไปช่วยเหลือประชาชนนั่นแหละ

แต่กรณีปัญหา “เรือดำน้ำ” ที่ทำให้ผม “เคารพ” นายสุทินขึ้นมาทันที ว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ “สมตำแหน่ง-สมฐานะ”

แท้จริง ก็ตรงที่ท่านเผยถึงทัศนะส่วนตัวต่อเรื่องนี้ ว่า
“ความสัมพันธ์กับจีนบวกกับยุทธศาสตร์ที่ทำร่วมกันก็กว่า ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
แต่หากทะเลาะกัน กับแค่เงิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท มองว่าไม่ฉลาด”

ติดยศ “นายพล ๕ ดาว” ให้เลยครับ…ท่าน!

ถ้านักการเมืองซัก “ครึ่งสภา” มีความคิดรอบด้าน, รู้เขา-รู้เรา, มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง
และคำนึงถึง “ส่วนได้-ส่วนเสีย” ต่อส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ทางการเมือง อย่างท่านสุทิน
บ้านเมืองไทยเรา “ก้าวข้าม” กับดักความเจริญได้ทันที!

ที่บ้านเมืองไปทางไหนไม่ได้ทุกวันนี้
อุปสรรคใหญ่ ไม่ใช่ความจน ไม่ใช่หนี้สิน ไม่ใช่คนไทยพูดฝรั่งไม่เป็น ไม่ใช่คนไทยไร้ฝีมือและไม่มีสมอง

ตรงกันข้าม คนไทยมีศักยภาพพร้อมทุกอย่าง พร้อมมากด้วย และพร้อมมานานแล้ว
แต่ที่เป็นอุปสรรคทำให้ติดแหง็กอยู่กับที่ คือ
“ไร้วินัย-เห็นแก่ตัว”

ถ้าคนไทย “ก้าวข้าม” ตรงนี้
แล้วรวมพลัง “เสียสละ-อดทน-สามัคคี” มีซักกี่ชาติในโลก จะพุ่งทะยานชนิดทะลุ “มิติจักรวาล” ได้เหมือนไทย!?

กรณี “นายสุทิน คลังแสง” ที่ใครๆ เคยตีราคาว่า ครูบ้านนอกบ้าง หมอลำบ้าง มาเป็นนักการเมือง อาศัยปากชักรอกในสภาเก่งหน่อย

“หน้าอย่างนี้น่ะหรือที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม” แล้วก็แซวกัน “คงเพราะนามสกุล” คลังแสง” มั้ง ที่พอจะเป็นคุณสมบัติได้บ้าง!

แล้วเป็นไง ๔ เดือนที่ “ดีแต่โม้” ของรัฐบาลเพื่อไทย
“รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ชื่อ “สุทิน คลังแสง” ที่ว่า “ด้อย” ที่สุด

กลับ “เด่น” ที่สุด……..ในจำนวน “รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย” ทั้งหมด!

กรณีนายสุทิน คลังแสง “สามัญชนเต็มขั้น” ขึ้นไปบังคับบัญชากองทัพไทยในตำแหน่ง “รัฐมนตรีกลาโหม” นั้น
สะท้อนมิติ “นิมิตมงคล” ๒ ด้าน

ด้านที่ ๑.นักการเมืองใช้การทหาร
ด้านที่ ๒.การทหารใช้นักการเมือง!

เมื่อ “ต่างฝ่าย-ต่างใช้” ในกันและกัน โดยมี “ผลประโยชน์ชาติ” เป็นสมบัติกองกลาง
ผลได้ที่เห็นเป็นรูปธรรม คือจากที่ “ตั้งแง่” ด้วยต่างฝ่าย-ต่างอีโก้ใส่กัน เพราะ “ต่างคน-ต่างอยู่” ทั้งที่ภารกิจชาติด้วยกัน

เมื่อ “การเมืองกับการทัพ” ได้ส้องเสพซึ่งกันและกัน จนปรับระดับฐานทัศนภารกิจเข้าสัมพันธ์กันได้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว

กองทัพ มีเพื่อชาติ-ประชาชน
นักการเมือง มีเพื่อชาติ-ประชาชน

เมื่อนักการเมืองพูดแทนกองทัพ
และกองทัพทำแทนนักการเมือง

ใครล่ะ..ที่ได้ ผลประโยชน์จะตกอยู่กับใคร ถ้าไม่ใช่ “ชาติ-ประชาชน”?
กรณีกองทัพกับนายสุทิน ต้องบอก “ต่างคน-ต่างใช้” เก่งทั้งสองฝ่าย!

ไหนๆ ประเดิมด้วย “สัมโมทนียกถา” นักการเมืองแล้ว ก็ชยันโตส่งท้ายให้ครบสูตรไปเลย
เมื่อวาน ท่าน “นายกฯ เศรษฐา” โพสต์ อ่านกันยัง
……………………..

เศรษฐา ทวีสิน – Srettha Thavisin

“ปัญหาการบำบัดผู้ติดยาเสพติด เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมไทย สส.ในพื้นที่ ก็ได้สะท้อนปัญหาที่รับร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนมาเป็นจำนวนมาก

ผมได้เชิญท่าน รมว.กลาโหมและ ผบ.ทบ.เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหา
ฝ่ายความมั่นคงยินดีที่จะเปิดค่ายทหาร เพื่อรองรับผู้เสพยาเสพติด

โดยคัดกรองนำผู้เสพยาจากหมู่บ้าน คัดแยกผู้ที่ติดยาเสพติดออกจากชุมชน และส่งไปบำบัดยังโรงพยาบาลของค่ายทหารประจำจังหวัดต่อไป
ซึ่งจะแถลงข่าวถึงแผนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 2 สัปดาห์นี้ครับ”

ครับ…ท่าน
เอาไป ๑๐ กะโหลกเลย สำหรับไอเดียนี้!

เห็นข่าวออกเหมือนกัน ที่รัฐสภาเมื่อวาน ท่านนายกฯ เชิญ นายสุทิน รัฐมนตรีกลาโหม, พลเอกเจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.หารือ

ผมเห็นด้วย ผู้ต้องขังแสนคนในเรือนจำตอนนี้ กว่า ๘ หมื่น เป็นนักโทษยาเสพติด

“คุก” ไม่ได้ทำให้เลิกเสพยา มันแค่ทำให้ซื้อยามาเสพแพงขึ้นกว่าข้างนอกเท่านั้น!

มันต้องใช้ “ระเบียบ-วินัย” ของทหาร เอาตัวและสมองเข้าไป “อบ” อยู่ในค่ายทหาร

“อบ” แล้วเอาไป “รม” ด้วยการฝึก-สร้างจิตสำนึก-ปลูกฝังคุณค่าความเป็นทรัพยากรบุคคล “เพื่อชาติ-เพื่อสังคม”

อบแล้ว รมแล้ว ฝึกแล้ว ให้โอกาสแล้ว
ถ้าเลิกไม่ได้…….
ก็สมควรปล่อยให้มัน “ลงแดงตายไปซะ” จะได้ไม่รกสังคม!

งบประมาณ “กระทรวงยุติธรรม” ตั้ง ๑.๔ หมื่นล้าน ใช้ทำโครงการแยกผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชนด้วย

ทำตามระเบียบราชทัณฑ์ ฉบับอภินันทนาการนักโทษทักษิณ ไม่ยาก แค่พันล้านก็เหลือ

แค่ใช้ระเบียบราชทัณฑ์ลบล้างคำพิพากษาที่ลงโทษจำคุก โดยกำหนดให้ “บ้านใคร-บ้านมัน” คือ “คุก”

ง่ายๆ แค่นี้ “ราชทัณฑ์” ยุครัฐบาลเพื่อไทย “ทำได้-คิดเป็น” เห็นๆ อยู่!

แต่ที่นายกฯ เศรษฐา จะให้ค่ายทหารเป็นสถานที่ “ควบคุมความประพฤติ” ผู้ต้องขังโทษเสพยานั้น
เป็นมุมมองเป็นคุณในการ “รีไซเคิล” ของเสีย ให้กลับเป็น “ของดี” คืนสังคม ผมเห็นด้วย

แต่เรื่องนี้ ใช่ว่าเอาตัวจากคุกไปอยู่ค่ายทหารได้ หากแต่ เกี่ยวพันอำนาจศาล เกี่ยวกับกฎหมายหลายฉบับ

ฉะนั้น ถ้าเอาจริง ต้องปรึกษาหลายฝ่าย แก้กฎหมายหลายฉบับ เพราะค่ายทหาร ไม่ใช่สถานที่ “กักขัง-กักกัน” จะเอานักโทษไปฝึกแบบทหาร ตามกฎหมายก็ใช่ว่าจะทำได้

ที่สำคัญ เรื่อง “งบประมาณ”
รวมถึงการติดตามผล ว่าผู้ผ่านการฝึกออกไปแล้ว ไปเป็นไอ้ขี้ยา หรือพัฒนาจากขี้ยา ไปเป็นพ่อค้ายาขาใหญ่ หรือไปเป็นพลเมืองดีของสังคม ตรงนี้สำคัญ

หลายประเทศในตะวันตก เช่นสหรัฐฯ
ก็เคยใช้ค่ายทหารฝึกระเบียบ-วินัย สร้างจิตสำนึกใหม่ ให้นักโทษแทนการขังคุกมาแล้ว และก็ได้ผลดี

ท่านนายกฯ ทำเถอะ ผมสนับสนุน โดยพื้นฐาน ไม่มีใครอยากติดยา แต่สิ่งแวดล้อม สังคม ชักนำ ทำให้เขาเป็นไป
ที่สำคัญ คนติดยา จะเริ่มจาก เขาต้องการความเข้าใจและความเห็นคุณค่าในตัวเขาจากคนอื่น

เมื่อเขาไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีใครเห็นคุณค่าในตัวเขา….
เขาจึงหันไปพึ่งยาเพื่อ “สร้างโลก” ในควันสีขาวจากกระดาษฟอยล์เป็นวิมานฝัน!

การ “ฝึกกาย-ฝึกใจ” ด้วยระเบียบ-วินัยในค่ายทหารนั่นแหละ จะล้วงควักคุณค่าความเป็นคนของเขาขึ้นมาได้อีกครั้ง
ร้อยคนได้ซัก ๓๐-๔๐ คน ดีกว่าเป็นไอ้ขี้ยาสุมอยู่ในคุกแล้วออกมาเป็น “เอเยนต์พ่อค้ายานอกคุก”!

นี่ผมก็ชม “นายกฯ เศรษฐา” เป็นนะ
ใช่ว่าจะด่า “หาเกี๊ยะ” ในกล่องสุ่มตะบันไป!

เปลว สีเงิน
๖ มกราคม ๒๕๖๗

Written By
More from pp
“ประเสริฐ” ชี้ สภาล่ม เหตุจากรอยร้าวในรัฐบาล 
7 กุมภาพันธ์ 2565-นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การอภิปรายรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 พลเอกประยุทธ์...
Read More
0 replies on “เขาชื่อ ‘สุทิน คลังแสง’ – เปลว สีเงิน”