ยาบ้า “ต้องแก้แบบบ้าๆ” – เปลว สีเงิน

คลิกฟังบทความ..⬇️

เปลว สีเงิน

“ยาม้า-ยาบ้า” นี่ พูดกันตรงๆ
มันเป็น “ยามาก่อนกาล” และก่อน “กฎหมาย”!
หลังจาก “ฝิ่น” หมดไปจากเมืองไทย
โดยจอมพลสฤษดิ์ “ห้ามเสพ-ห้ามจำหน่าย-ห้ามมี” ขนบ้องมาเผาทิ้งกลางสนามหลวง ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ แล้ว
“ยาขยัน” ก็เกิดขึ้นแทน!

กินแล้วกะปรี้-กะเปร่า ขยันทำงาน นักเรียน นักศึกษา ไม่ง่วง ทำการบ้านได้ทั้งคืน ค่อยไปบ้ากันในกาลข้างหน้า
ทางการคงตรวจสารประกอบแล้ว ต่อมาก็ถูกห้ามผลิต-ห้ามจำหน่าย

จากนั้น “ยาม้า” ก็เข้ามายึดตลาด “ขี้ยา” เมืองไทย ฮิตมากในหมู่คนขับรถทางไกล คนขับ ๑๐ ล้อ คนทำงานหามรุ่งหามค่ำ

ว่ากัน “เป็นขา-เป็นตัว” ไม่เรียก “เป็นเม็ด” อย่างทุกวันนี้

“นายเสนาะ เทียนทอง” แก้ปัญหายาม้า โดยเปลี่ยนชื่อ “ยาม้า” เป็น “ยาบ้า”
ม้ายิ่งพยศ และยิ่งทำให้ “คนปราบ-คนค้า” ยิ่งรวย”!

รัฐมนตรีสาธารณสุข “นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว” โยนหินถามทางวันก่อนว่า จะออก “กฎกระทรวง” กำหนดให้คนมียาบ้าไม่เกิน ๑๐ เม็ด เป็น “ผู้เสพ”

พูดง่ายๆ ใครมี ๙ เม็ด “ไม่ถูกจับ-ไม่ติดคุก”
ถือเป็น “ผู้ป่วย” นำไปบำบัดแทนการ “เข้าคุก!

คอ “ยาบ้า” และ “คนขาย”….เฮ
ขอบคุณรัฐมนตรีสาธารณสุขกันใหญ่ ที่ออกนโยบายสนับนุน “การขาย-การเสพ” ให้กว้างขวาง แถมซื้อง่าย-ขายคล่องขึ้น

นับเป็นนโยบาย “ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายยาบ้า” ของรัฐบาลเพื่อไทยที่ตรงเป้า

ต่อไปนี้ ที่ขายแพ็กละ ๑๐ เม็ด
จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ เหลือแพ็กละ ๙ เม็ด ทั้งผู้ขาย-ผู้ซื้อ-ผู้เสพ ก็จะไม่ถูกจับ ไม่ต้องเข้าคุกอีกต่อไป

ซวยหน่อย ก็แค่เป็น “คนป่วย” ถูกนำไปบำบัด เดี๋ยวก็ออกมาขาย-มาเสพต่อได้อีก

คัดค้านแนวคิดรัฐมนตรีสาธารณสุขกันตรึม สำหรับผม “เห็นด้วยครึ่ง-ไม่เห็นด้วยครึ่ง”
ครึ่งที่เห็นด้วย ตรงเข้าใจ “เจตนา” ท่าน!

ผมฟัง “นิสิตคุก” คือเพื่อนพันธมิตรและกปปส.หลายคน ที่ “ทำหน้าที่ของปวงชนชนชาวไทย” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๐ ที่ว่า…บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑)พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(๒)ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วม มือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

แต่ปรากฏว่า ออกไปทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแล้ว ทั้งพันธมิตร ทั้งกปปส.ติดคุก, ถูกยึดทรัพย์, ตายฟรี-พิการฟรี

ที่ได้ประกันออกมา เล่าให้ผมฟังว่า ในคุกนั้น สมมติ ๑๐๐ คน
๘๐ คน เป็นนักโทษ “ยาเสพติด”!

ก็มา “นั่งคิด-นอนคิด” นักโทษในคุกเป็นแสนๆ ๘ หมื่นคนเพราะยาเสพติด มีเพียง ๒ หมื่น จากคดีอื่นๆ

ก็เกิดคำถามขึ้น ว่าการเอาขี้ยาเข้าคุก เป็นการ “แก้ปัญหา” หรือ “สร้างปัญหาในปัญหา” กันแน่?
แถมสิ้นเปลืองงบประมาณ ทั้งกำลังเจ้าหน้าที่โดยเปล่าประโยชน์หรือไม่?

และอีกอย่าง มันสร้างภาระ-สร้างคดีให้ “ตำรวจ-อัยการ” อย่างคำที่ว่า “เป็นคดีรกศาล”

หลายๆ ครั้ง ทำให้เกิดขบวนการคอร์รัปชัน ขบวนการติดสินบาท-คาดสินบนตามมาเป็นลูกโซ่ จนสนิมสังคมเหลานั้นเกรอะกรังเป็น “ลูกตุ้ม” ถ่วงชาติ

รัฐมนตรีชลน่าน ยังไม่เคยติดคุก แต่คงพอทราบปัญหานี้ จึงมีแนวคิดจะลดปัญหา “ขี้ยาล้นคุก”
สร้างเกณฑ์ “ไม่เกิน ๑๐ เม็ด” ไม่ติดคุกขึ้นมา

อย่างน้อยก็จะทำให้ “ห้องขังหลวม” พอให้คนอื่นกระดิกตัว “ตอนนอน” ได้บ้าง

เผื่อ “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” เสด็จจากชั้น ๑๔ ลงมาสถิตเป็นขวัญคุก “ซักคืน-สองคืน”
เวลานอน จะได้มีพื้นที่ “พลิกกาย-ก่ายขา” ได้บ้าง!

แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาแบบนี้

การออกกฎไม่เกิน ๑๐ เม็ด ไม่ต้องเข้าคุก
เท่ากับ “กวาดขยะ” จากที่หนึ่ง ไปกองซุกไว้ ณ “อีกที่หนึ่ง”!

ก็ต้องจัดหา “สถานที่บำบัด” และบุคลากรรองรับ “ผู้ป่วย” เป็นแสนๆ คนอยู่ดี และต้องจัดหา “งบประมาณ” ด้วย

ทำไป-ทำมา สถานที่บำบัด กลายเป็นสถานที่พบปะเพื่อการ “จับคู่” ขยายเครือข่ายเป็นพันธมิตร “กลุ่มค้า-กลุ่มเสพ”
สร้างตลาดยาบ้าให้ขยายใหญ่โตขึ้น ผ่านแต่ละคนที่พ้นการบำบัดออกไปแล้ว!

ผมว่า การแก้ปัญหาเรื่องนี้ ต้องแยกเป็น ๒ ส่วน คือส่วน “ผู้ผลิต-ผู้นำสู่ตลาด” กับส่วน “ผู้ค้า-ผู้เสพ” ทั่วไป

ปัญหาที่คิดแก้อยู่ตอนนี้ แก้ส่วนปลาย คือส่วน “ผู้ค้าย่อย” กับ “ผู้เสพทั่วไป” ที่ “ล้นคุก” อยู่ตอนนี้

ฉะนั้น เราจะคุยกันเฉพาะส่วนนี้
ผมว่า เราติดอยู่ในกรงขังความคิด “ผู้เสพ-ผู้ค้า” มุ่งแก้ปัญหาล้นคุก จนลืมมองทางแก้ที่ยั่งยืนไป

ต้องทะลาย “กรงความคิด” เก่าทิ้ง แล้วสร้างชุดความคิดใหม่ โดยรัฐมนตรีต้องสมมติตัวเองเป็นคนไม่มีงานทำ หลุดเข้าไปในวงจรค้ายา จนติดยาในที่สุด

ในความคิดรัฐมนตรีชลน่าน สภาพนั้น ตอบโจทย์ชีวิตตัวเองซิว่า เมื่ออยากสลัดพ้นจากวงจรนั้น ต้องการอะไรรองรับ?

ผมว่า “คนค้า-คนเสพ” ทั่วไป โดยพื้นฐาน ไม่มีใครอยากเป็น-อยากทำอย่างนั้น แต่เมื่อทางสว่างชีวิตไม่มี มันก็ต้องดำดิ่งไปตามทางมืด เป็นธรรมดา

ลองอย่างนี้ซีครับ….
“วิชาความรู้+พื้นที่+แรงงาน+ผลิตผล+ตลาด” เป็นโจทย์

และเป้าหมายโจทย์ นำไปสู่ “รายได้+ความรัก+อาชีพ+อนาคต+ความยั่งยืน”
โดยมี “กุญแจไขโจทย์” อยู่ที่คำว่า “ประสบการณ์” ชนะทุกสิ่ง

เมื่อได้โจทย์แล้ว ไม่มีคำว่านักโทษ-ผู้ต้องขัง, ไม่มีคำว่าคุก สำหรับผู้เสพ-ผู้ค้ารายย่อย

คนเหล่านี้ เป็นผู้เข้าอบรมตาม “หลักสูตรพัฒนาสู่ภาวะผู้นำตามแนวทางทฤษฎี Sufficiency theory”

คือทฤษฎี “พอเพียง” ของในหลวง ร.๙ ที่ขณะนี้ ยูเอ็นยังต้องแนะนำให้แต่ละประเทศนำทฤษฎีนี้ไปเตรียมรับมือชีวิต-เศรษฐกิจศตวรรษใหม่ที่กำลังมาถึง

นำที่ดินของเรือนจำที่ไหนซักแห่ง แทนที่จะนำไปทำเป็นคุก ก็แปลงเป็นพื้นที่เพาะพันธุ์
“มนุษย์ทองคำ” สายพันธุ์ Sufficiency theory!

ถ้าที่ไม่พอ ร่วมกับกองทัพ ใช้พื้นที่ “ค่ายทหาร” ทำให้เป็นไปตามหลักสูตรนั้น

มีนักวิชาการมาสอนอาชีพ เน้นการเกษตรเป็นหลัก เรียนกันแล้ว ก็เป็นแรงงาน ลงมือทำกันจริงๆเลย

ขั้นแรก คุกนั่นแหละคือ “ตลาด”
งบประมาณค่าอาหารแต่ละเรือนจำ “เป็นร้อย-เป็นพันล้าน” ผู้รับเหมาทำอาหาร ก็ให้ซื้อผลิตผลจากมนุษย์ทองคำนี้แหละไป

เมื่อได้เรียน ได้ลงมือทำ แรกๆ ฝืนใจ ต่อๆ ไป ก็จะค่อยๆ สนใจ เกิดความรัก-ความชอบ ยิ่งเห็นผลิตผลโตด้วยน้ำมือและยิ่งมีส่วนแบ่งเป็นรายได้

คำว่า “อาชีพ, อนาคต, ความหวังชีวิตใหม่” ก็จะเกิดขึ้น

ในความเป็นมนุษย์ของทุกคน เกิดมาดีทุกคน มาชั่วก็ตอนหลังด้วยสิ่งแวดล้อมชักนำ

แต่พอเห็นทางดี เป็นทางอนาคต แล้วใครซักกี่คน ในหมื่น-ในแสนคน อยากจะกลับไปชั่วอีก!?

จับคนไปทรมาน ไปกักขังลงโทษ มันเกิดบาดแผลใจ ยากกลับใจ
แต่ถ้านำเขามาด้วยกุศลเจตนา ไม่ใช่นักโทษ แต่เป็น นักศึกษาหลักสูตร “Sufficiency theory”

จบแล้ว นำประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกอบรม ทั้งไปเริ่มต้นเอง ทั้งไปเป็นผู้นำคนอื่นต่อๆ ไป ตามโครงการ

โดยมีสถาบัน “หลักสูตรพัฒนาสู่ภาวะผู้นำตามแนวทางทฤษฎี Sufficiency theory”

ในความร่วมมือ “กองทัพและราชทัณฑ์” เป็นพี่เลี้ยงนั้น สามารถแปลง “คนเสพยา” ให้เป็น “มนุษย์ทองคำ” สายพันธุ์ “Sufficiency theory” ได้ ดีกว่าแค่ “นำไปบำบัด” ซึ่งเวิ้งว้างมาก

จำไว้อย่าง….
“ฝูงคนต้องนำ ฝูงสัตว์ต้องต้อน” และคนกับสัตว์ ต่างกันตรงที่ว่า

สัตว์ เกิดมา “ไม่ต้องฝึก” ก็เอาชีวิตรอด เช่น ช้าง ม้า หมู หมา ใครที่ไหนล่ะไปฝึก?

ส่วนมนุษย์ เกิดมา “ต้องฝึก” จึงจะมีชีวิตรอด กินนมเองไม่เป็น พูดไม่เป็น คลานไม่เป็น เดินไม่เป็น ต้องฝึกทั้งนั้น

“คนเสพยา” เช่นกัน ใช้อาญา ใช้บำบัดก็แก้ไม่ได้
ต้องฝึก โดยใช้ “เมตตา-วินัย-อนาคต” “ฝึกตัว-ฝึกใจ” ให้เขาเกิดประสบการณ์

และประสบการณ์จะสร้างแรงดาลใจให้เขามี “ความภูมิใจ” ในตัวเขาเองว่า “มีศักยภาพสร้างอนาคตได้”

การเปลี่ยนคำว่า “ติดคุก-นักโทษ” เป็นนักศึกษาหลักสูตร “Sufficiency theory”
นั่นเท่ากับเปลี่ยน “ปมด้อย-ตราบาป” ในพวกเขา ให้เป็น ตราสถาบัน “Sufficiency theory” ที่ยืดอกอวดได้

“ฝึกสัตว์” ฝึกด้วย “แส้”
“ฝึกคน” ต้องฝึกด้วย “อิทธิบาท ๔” ฉันทะ-การมีใจรักในสิ่งที่ทำ, วิริยะ-ความมุ่งมั่นทุ่มเท, จิตตะ-ใจจดจ่อและรับผิดชอบ

และ “วิมังสา”….
“การทบทวนในสิ่งที่ได้คิด-ได้ทำมา อันเกิดจากการมีใจรัก แล้วทำด้วยความมุ่งมั่น อย่างใจจดใจจ่อและรับผิดชอบ

โดยใช้วิจารณญาณอย่างรอบรู้และรอบคอบ นำไปสู่การทบทวนตัวเองและทบทวนองค์กร
หรือทบทวนขบวนการ ทบทวนในสิ่งที่ได้คิด-สิ่งได้ทำผ่านมาว่าเกิดผลดี-ผลเสียอย่างไร

ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเราเอง และเป็นเรื่องที่ร่วมคิด-ร่วมทำกับคนอื่น เพื่อปรับปรุงปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น”

เรื่องนี้ “คิดคนเดียว-ทำคนเดียว” ไม่ได้

ต้อง “กองทัพ+มหาดไทย+ยุติธรรม+เกษตร+แรงงาน+สาธารณสุข” เป็นแม่งานร่วมกัน

เปลว สีเงิน
๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

Written By
More from plew
นายกฯ “รำไรๆ” ใต้ขนตา – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ไม่ได้คุยถึง “ลุงป้อม” มานาน แต่ก็คิดถึงตลอดนะ เมื่อวาน (๑๗ เมย.) เห็นท่านไปหาอะไรอร่อยๆ กินแถวซอยรางน้ำ เข้าใจว่าที่...
Read More
0 replies on “ยาบ้า “ต้องแก้แบบบ้าๆ” – เปลว สีเงิน”