คลิกฟังบทความ…⬇️
เปลว สีเงิน
ถึงวันนี้…..
ไม่หายแต่ก็คง “คลายช็อก “พอได้สติใคร่ครวญทวนทบกันแล้วนะ กับเรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย “ทักษิณ ชินวัตร”
ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณา “อภัยลดโทษ”
จาก ๘ ปี เหลือจำคุก ๑ ปี!
การคิดใคร่ครวญที่นำไปสู่บทสรุปอันลงตัวได้นั้น องค์ประกอบสำคัญ คือ “ข้อมูล” ที่ครบด้าน
แต่หลายๆ คน จับยึดแต่เพียงว่า “ทักษิณ-นักโทษเทวดาติดคุกแค่ปีเดียว”
แค่นี้ แล้วนำไปสู่ความคิดสรุป ด้าน “ช็อก”!
แต่ถ้าอ่าน “พระบรมราชโองการ” จับความให้ชัด แล้วย้อนไปดูรายละเอียดทางพฤติกรรมทักษิณ สู่คำตัดสินศาลทั้ง ๓ คดี ที่สั่งจำคุกรวม ๘ ปี นั้นแล้ว
ถ้าเราเป็นทักษิณ เป็นครอบครัว เป็นคนร่วมวงศ์ตระกูลชินวัตร เป็นสมาชิกพรรคจากพรรคไทยรักไทยจนไปเป็นเพื่อไทยวันนี้
ความใน “พระบรมราชโองการ” นั้น
ที่พระราชทานพระมหากรุณาอภัย “ลดโทษ” ให้ โดยยังคงให้รับโทษบางส่วนนั้น
ส่วนหนึ่งเป็น “พระมหากรุณา” ยิ่งแล้ว
อีกส่วน เป็นไปตามหลักพิจารณาคดีความ ซึ่งประกอบด้วย “เมตตา-อภัย” เมื่อนักโทษนั้นสำนึก จะได้กลับตัว-กลับใจออกไปเป็นพลเมืองดีของชาติ
ขณะเดียวกัน….
ในหนังสือที่นำทูลเกล้าฯ เพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษนั้น นักโทษเด็ดขาดชาย “ทักษิณ ชินวัตร”
ประหนึ่ง ยืนกลางสี่มุมเมือง
แล้วตะโกนให้ทุกคนที่ผ่านไป-มาได้ยินจากปากทักษิณเอง ว่า
-ผมมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ครับ
-ผมเป็นคนเลวครับ
-ผมโกงชาติ โกงแผ่นดิน โกงประชาชน จริงครับ
-ผมใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตต่อชาติบ้านเมืองและประชาขน กอบโกยผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและครอบครัวจริงครับ
-ผมมีความสำนึกในการทำความผิดนั้นแล้วครับ
-ผมเคารพในกระบวนการยุติธรรมครับ และ
-ผมขอน้อมรับโทษตามคำพิพากษาครับ
จากปาก-จากใจทักษิณ ที่ถ่ายทอดเป็นอักษรในหนังสือของพระราชทานอภัยโทษนั้น
“ติดคุก ๘ ปี” ยังสลักไม่ลึกเท่า “ติดคุกสังคม” ที่จะสลักลึกลงไปทั้งชาติตระกูลตราบชั่วฟ้า-ดินสลาย!
ถ้านึกย้อนไปจากวันแรกถึงวันสุดท้าย ๑๖-๑๗ ปี ทั้งโลก จะได้ยินทักษิณประกาศ “ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม” ของศาลไทยมาตลอด
พร่ำแต่คำว่า เป็นการ “ยุติ” ที่ “ไม่เป็นธรรม” มาตลอด
ทั้งประกาศว่า ตัวเองไม่มีความผิด ไม่โกงชาติ ไม่โกงแผ่นดิน ไม่โกงประชาชน เพื่อเอาผลประโยชน์ใส่ตัวเองและครอบครัวมาตลอด
และทุกคดี เขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เขาไม่ได้ทำผิด เขาไม่ได้โกงใดๆ ทั้งสิ้น
อหังการถึงขั้นแยกประเทศเป็น “แเดงทั้งแผ่นดิน” ทักษิณสถาปนา
แล้ววันหนึ่ง…….
ทักษิณที่ดุจ “แมงป่อง” ชูหางวางตัวอยู่เหนือ “ทุกสถาบันอำนาจ” เมื่อสิ้นฤทธิ์ สิ้นอหังการ และสิ้นทางไป
ก็บากหน้ากลับมาเอง
ยอมยืนหน้าบัลลังก์ศาล เปล่งคำสารภาพ รับโทษ-รับผิด ยอมเข้าคุก ยอมให้ตีตรา-ตีทะเบียนเป็น “นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร”
เป็นอดีต “นายกฯ ไทย” คนแรกที่ต้องเข้าคุก!
ฐานใช้อำนาจหน้าที่ “ทุจริตโกงกิน” บันทึกลงไว้เป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย
ให้คนทั้งโลกได้รู้….
ความจริง “จากปาก-จากใจ” ผู้กำเริบเสิบสานโกงบ้าน-กินเมือง จากอหังการสู่ศิโรราบ สารภาพ กราบกราน ด้วยคำเป็นบันทึกหลักฐาน ในหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ว่า
เขา….”มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”
อยากให้ทุกคนกลับไปอ่าน “พระบรมราชโองการ” เมื่อ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ อีกครั้ง
ค่อยๆ อ่านแต่ละบรรทัดแล้วใคร่ครวญตาม โดยเฉพาะคำสารภาพทักษิณ ที่ปรากฎในพระบรมราชโองการ นั้น ว่า
………………….
“ความว่า เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าว ด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ
มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา
ขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วย ต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นั้น
ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว
จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา”
……………………..
เขาสิ้นทางไป อยู่ในสภาพ “เสือป่วย”
เดินเข้ากรง เป็นนักโทษสารภาพในสิ่งที่ทำ ยอมรับผิดตามกระบวนศาลยุติธรรมทุกประการแล้ว
เมื่อทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ
ด้วยพระมหากรุณาของ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” เมื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย
ทั้งด้วยทศพิธราชธรรมข้อที่ ๗ “อักโกธะ”
ทรงมีพระเมตตาอยู่เสมอ ไม่ทรงปรารถนาจะก่อภัย ก่อเวรแก่ผู้ใด
และข้อที่ ๑๐ “อวิโรธนะ”
ทรงรักษาความยุติธรรมไม่ให้แปรผันจากสิ่งที่ตรง และดำรงพระอาการไม่ยินดี ยินร้าย ต่ออำนาจคติทั้งปวง
และทั้งทรงเอื้อเฟื้อต่อเนติแบบแผนของแผ่นดิน
พระราชทานอภัย “ลดโทษ” จาก ๘ ปี เหลือ ๑ ปี แทนการพระราชทานอภัยโทษให้ทั้งหมด
“ชอบแล้ว” ด้วยประการทั้งปวง
ส่วนที่เห็นว่าเป็น ๒ มาตรฐาน ประหนึ่งนักโทษเทวดานั้น เป็นส่วนของผู้คุมกฎ-ผู้รักษากฎตามกฎหมายบ้านเมือง
คือ กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ รวมทั้งโรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้ปฎิบัติและละเว้นการปฎิบัติโดยตรง
พูดชัดๆ…….
ไม่เกี่ยวกับ “พระมหากษัตริย์”
และไม่เกี่ยวกับองค์ประกอบของการทรงมี “พระบรมราชวินิจฉัย” ในหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ฉะนั้น การที่ใครจะช็อกหรือไม่ช็อก
และใครจะวิพากษ์-วิจารณ์ในทางปฎิกริยาตอบกลับนั้น
ควรใช้ความใคร่ครวญด้วยสติแทนความรู้สึกที่สะท้อนอารมณ์ให้มากเข้าไว้
นี่ เป็นเพียง “ความคิดเห็น” เฉพาะตัว
อย่าถือเป็นการเตือน เป็นการสอน เพราะผมไม่อยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้ และผมก็มิบังอาจด้วย!
ในโลกนี้ มี ๒ อย่าง ที่มนุษย์ในสังคม อาจหนีพ้นอย่างหนึ่ง แต่จะหนีไม่พ้นอีกอย่างหนึ่ง
และบางที หนีไม่พ้นทั้ง ๒ อย่าง แต่ไม่มีเลยที่จะหนีพ้นทั้ง ๒ อย่าง
นั่นคือ “กฎหมาย” และ “กฎกรรม”
บางคนพ้นกฎหมาย แต่ไม่พ้นกฎกรรม บางคนต้องรับทั้งกฎหมายและกฎกรรม
ใครก็อย่าอิจฉาใคร
ดูง่ายๆ ไปแบบจนๆ อย่างอดีตนายกฯ ประยุทธ์ กับไปแบบรวยล้นเพราะปล้นชาติ อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ
โลกสรรเสริญใคร และใครที่โลกด่า?
เปลว สีเงิน
๔ กันยายน ๒๕๖๖