คลิกฟังบทความ…⬇
เปลว สีเงิน
โบราณว่า…..
“นอนนาน-วิชาน้อย,กินบ่อย-เงินหมด,พูดมาก-โกหกมาก”
การเมืองช่วงนี้ ก็แบบนั้นแหละครับ
“พูดมาก ก็โม้มาก” ทั้งเพ!
เรื่องตั้งรัฐบาลก็เหมือนกัน ยังอยู่ขั้นเจรจาว่าเจ้าสาวแต่ละรายจะ “ยอมท้องก่อนแต่ง” หรือต้องให้ “แต่งก่อนถึงจะยอมท้อง”
ฉะนั้น การวิเคราะห์-วิแคะอะไรไปล่วงหน้า บอกได้เลย
“โม้รายวัน” ทั้งนั้น!
เรื่อง “โหวตเศรษฐา” เป็นนายกฯ บ่ายวาน โทรทัศน์ช่องเนชั่นเขาเชิญ “สว.วันชัย” มาสนทนา
สว.วันชัยนั้น ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างการเป็นทนายกับการเป็นหมอดู อย่างไหนจะรุ่งกว่ากัน?
แต่เมื่อวาน ท่านพูดเหมือนได้รับมอบจากสว.ส่วนใหญ่ให้มาพูด เพราะดูหนักแน่น-ชัดเจนเหลือเกินว่า
“ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายรวมเสียงได้มาก เราก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่โหวตให้เศรษฐาเป็นนายกฯ”
แต่พิธีกร เขาต่อสายสัมภาษณ์สว.อีกท่าน คือ “สว.จเด็จ อินสว่าง” ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนน้ำท่วมยุคยิ่งลักษณ์ ท่านเป็นผู้ว่าฯ จังหวัดแถวๆ ชายขอบกทม.
ท่านลอยเรือลุยงานรับมือน้ำเหนือหลากล้อมกรุงเทพฯ การพูดจาชนิดขวานผ่าซาก ปากกับใจตรงกัน ไม่สอพลอ
การเมืองตอนนั้น ทำให้ท่านเป็นดาราข่าวโทรทัศน์ ดังไปเลย
ท่านให้สัมภาษณ์พิธีกรช่องเนชั่นประมาณว่า….
เรื่องโหวตนายกฯ นั้น สว.ไม่ได้มีความคิดเห็นเหมือนสว.วันชัยทุกคนหรอก
โดยเฉพาะตัวท่าน ไม่ได้ยึดตรงว่า ใครรวมเสียงได้มากแล้วจะโหวตให้
ท่านจะต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมอบหมาย คือ ต้องกลั่นกรองคนจะเป็นนายกฯว่า มีความซื่อสัตย์-สุจริต ต่อสถาบันของชาติ คือ “ชาติ,ศาสน์ พระมหากษัตริย์” หรือไม่?
พิธีกรถาม เศรษฐาล่ะ ท่านจะโหวตให้มั้ย?
สว.จเด็จตอบ ว่าท่านพูดในหลักการที่ใช้ในการเลือกคน ไม่ขอระบุเป็นตัวบุคคล
และสว.จเด็จยังยกตัวอย่าง เช่นเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์ คนจะเป็นนายกฯก็ต้องไม่มีปัญหานี้
และท่านบอก สว.ที่คิดเหมือนท่าน และใช้กรอบนี้ในการพิจารณาว่าจะโหวตหรือไม่โหวตให้ใคร ก็มีอยู่เหมือนกัน
นี่ผม “สรุปความ” ให้ฟังนะ ไม่ได้เป๊ะๆ ตามที่ท่านพูดทุกคำ แต่ตามเนื้อหาที่ท่านพูด…..
ผมหยิบที่สว.วันชัย ฟันธงว่า…เหลือเฟือ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่โหวตให้เศรษฐา มาขึ้นตาชั่งกับที่ สว.จเด็จพูด
ผมให้น้ำหนักทางสว.จเด็จมากกกว่า ตรงที่ท่านบอกว่า “ไม่ใช่ดูแค่รวมเสียงได้เท่าไหร่ก็โหวตให้ ต้องดูความซื่อสัตย์-สุจริตต่อสถาบันของชาติด้วย”!
สว.จเด็จ นับเป็น “สายแข็ง” มาตรฐานเชื่อได้ในหมู่สว.เมื่อสเปกในการโหวตนายกฯของท่านเป็นดังนี้
ก็ชักห่วง “ท่านอ้วน-ภูมิธรรม” ตงิดๆ เพราะเห็นพูดมั่นอก-มั่นใจ
“โหวตรอบนี้ เศรษฐา…ม้วนเดียวจบ ชัวร์”!
ก็ทำให้สงสัย……..
“ม้วนเดียวจบ” ของท่านอ้วน ที่ว่า ชัวร์ หมายความว่า ผ่าน ๓๗๕ เสียง ชัวร์ หรือ ชัวร์ ว่าไม่ผ่าน?
ผมหอนไม่เป็น แต่มีลางสังหรณ์ว่า “เศรษฐา” เขาเกิดมาเพื่อเป็นเศรษฐีบ้านจัดสรร ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนายกฯ!
ยิ่งเห็นชัยธวัช-เลขาฯก้าวไกล แถลงเย็นวาน ไม่โหวตให้เพื่อไทย ที่หวังเขาจะ “แอบจิต-ปันใจ” ให้ หวังก็สลายไปซะอีก
อย่างนี้ต้องไปบน “ผีกายแก้ว” ซะละมั้ง?
ตอนนี้อสุรกาย “กายแก้ว” กำลังฮิตในหมู่มนุษย์ “จอกแหน”
ความที่ “ไม่มีรากยึด”…….
แค่ใครเอาตีนกระทุ่มน้ำ ก็พร้อมไหลตามไปกับแค่น้ำกระเพื่อม
วัน-สองวันนี้ มีคนเอารูปปั้นอสุรกายมาโพสต์เฟซ เขาปั้นเป็นรูปกึ่งมนุษย์-กึ่งสัตว์ในนรกภูมิ ดำมะเมี่ยม มีปีก เล็บยาว ทาสีแดง เขี้ยวสีทอง
เห็นเขาว่า เอามาตั้งไว้แถวห้วยขวาง พวกจอกแหนแห่แหนไปกราบไหว้ ตื่นกันไปทั้งเมือง
วัดเรตติ้งแล้ว ผมว่าอสุรกาย “กายแก้ว” เรตติ้งดีกว่าการเมืองเรื่องตั้งรัฐบาล-ตั้งนายกฯซะอีก!
น่าเวทนาสังคมยุค “ราหูครองเมือง” ซะจริงๆ ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะรู้ว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๕-๑๖ ปี โลกอยู่ใต้คอนโทรล “ดาวพลูโต” ที่ราศีมังกร
ดาวพลูโต เป็นตัวแทนรหัสทางโหราศาสตร์ เมื่อโคจรไปอยู่ราศีใด ก็หมายถึง สังคมโลกช่วงนั้นๆ ถึงยุค “ลอกคราบครั้งใหญ่” ว่าด้วยการปฏิรูป ปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลง ชนิดเลี่ยงไม่ได้
ก็อย่างที่เห็นและประสบอยู่ขณะนี้ “ทั้งโลก” รวมทั้งไทยเราด้วยนี่แหละ
ในความหมาย disruption การทำลายล้างสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่ นั่นละ “ตรงตัว” เป๊ะเลย
พลูโต จะโคจรผ่านแต่ละราศี ใช้เวลาประมาณ ๒๐ ปีบ้าง บางช่วง ๓๐ ปี ก็มี และบางช่วง ๑๒-๑๖ ปี ก็มี
แต่โดยเฉลี่ย จะตกราวๆ ๒๐ ปี
โลกเรามี ๑๒ ราศี
ฉะนั้น พลูโตจะใช้เวลา ๒๔๘ ปี ถึงจะครบ “หนึ่งรอบ” จักรราศรี!
พลูโต เป็นตัวแทนเจ้าแห่งยมโลก จะแข็งกระด้าง ดุดัน พูดจาเป็นมะนาวเดือนห้า ไม่มีความอ่อนไหว-อ่อนโยน ไม่มีความเมตตา มีแต่ความน่ากลัว
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะการจบสิ้นของยุคๆ หนึ่ง ไปสู่สถานะใหม่ของสังคมอีกมิติหนึ่ง ต้องใช้ความดุดัน แข็งกร้าว
เหมือน “ไม่มี” ความเมตตา……
แต่ว่า “มี” สำหรับมนุษย์ผู้ดำรง “ในศีล-ในสัตย์” เพราะในความเป็นเทพพลูโตนั้น
พลูโต เป็นผู้ธำรง “ความยุติธรรม”
“ไม่โกง-ไม่กิน-ไม่อสัตย์ชาติ” ซึ่งจะเมตตา-อ่อนโยนให้กับความชั่วร้ายไม่ได้
ต้องเช่นนั้น การเปลี่ยนถ่ายยุคชนิด “ทำลายสิ่งเก่า-สร้างสรรค์สิ่งใหม่-จรรโลงรากเดิมไว้” ถึงจะสำเร็จ แบบเข้าถึงความหมายของพลูโต!
พ.ศ.๒๕๖๖ นี้….
เป็น “ช่วงปลาย” ที่ดาวพลูโตโคจรอยู่ในราศีมังกร หลังจากที่อยู่มาตั้งแต่ ๒๕๕๑ รวมเวลา ๑๕-๑๖ ปี
อะไรในทางดิสรัปท์เกิดขึ้นกับโลกบ้างล่ะ เห็นแล้วใช่มั้ย ย้อนดูเฉพาะกับบ้านเรา ก็จะเห็นว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐-๕๑ เรื่อยมา จนถึงวันนี้
การ “ทำลายล้าง” ในเชิง “ลบล้าง” ทุกรูปแบบเกิดขึ้นตลอด
มีการปฏิรูป ปฏิวัติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และทางสังคม
ศัพท์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ก็มีให้ได้ยิน
เช่น นวัตกรรม, New S-curve, คนรุ่นใหม่, EEC, ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์-เครื่องโทคาแมค, ดาวเทียมสำรวจโลก THEOS, เงินดิจิทัล, แอปเป๋าตัง เป็นต้น
ยังไม่รวม รถไฟฟ้าความเร็วสูง, รถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดิน, ไทยสร้างทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงเอง,ไทยจะเป็นฐานปล่อยยานอวกาศ และ…ฯลฯ
รวมถึง เกิดมนุษย์ “พันธุ์เหลือง พันธุ์แดง พันธุ์ส้ม” ครูบาอาจารย์มหา’ลัย แบ่งแยก-แตกฝ่าย ในเรื่องชาติ-สถาบัน
เกิดลัทธิ เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ผู้คนหลงงมงาย เป็นผิดเป็นชอบ-ที่ชอบเห็นเป็นผิด
กระทั่งนักวิชาการระดับดอกเตอร์-ศาสตราจารย์ไหว้กราบลูกศิษย์ ยกเป็นวีรชน วีรสตรี ในฐานะที่ “ชังชาติ-ชังสถาบัน”
การเมือง “หลอกใช้เยาวชน” เป็นเครื่องมือเดินเกม “กบฎชาติ” เปิดช่องให้อำนาจนอกเข้ามายึดครองประเทศ
เห็นมั้ย เอาเท่าที่นึกได้ขณะนี้ ในรอบ ๑๕-๑๖ ปี บ้านเมืองเราเป็นไปใต้อิทธิพลพลูโตถึงขนาดนี้
ฉะนั้น การสร้างรูปสัตว์ รูปอสูร รูปยักษ์มาร แล้วผู้คนก็ไหลไปกราบไหว้บนบานต่างๆ นานา
มันก็วิปริต-วิปลาสไปตามยุค “สังคมลอกครอบ” แต่พวกมนุษย์ที่ไม่ยอม “ลอกคราบตัวเอง” ซ้ำยังหลงเป็นรุ่นใหม่ โดยยึดวัยเป็นเกณฑ์
ก็ต้อง “หลงทาง” ตลอดไป
แม้นายกฯประยุทธ์ ผู้เข้ามาดิสรัปท์โครงสร้างสังคมสู่อนาคตใหม่ ย้ำตลอดว่า “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
แต่พวกกู่ไม่กลับ “ไม่ยอมไปเอง”!
ก็ต้องเคว้งไปกับจ๊อบ “ม็อบรับจ้าง” หรือไม่ก็ต้องไปไหว้กราบอสุรกาย “กายแก้ว” เวียนแบบนี้กันไป จนกว่า “สำนึก” ได้นั่นแหละ
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ต้องตกใจกันไป
กลางตุลา.นี้ พลูโตก็จะโคจรจากมังกร ย้อนกลับไปที่ราศีธนู โลกและไทยในวงจร “ทำลายสิ่งเก่า-สร้างสิ่งใหม่” ก็จะคลายลง
เท่าที่ผมอ่านแล้วเก็บมาเล่า เขาบอกว่า
ความหมายของ “ปฏิรูป-ปฏิวัติ” ในราศีมังกร ไม่ได้หมายถึงการให้ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน”
แต่หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโลกรอบนี้ ศิวิไลซ์ คือให้เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ แบบทาสวัตถุ
เป็น “ปฏิรูป-ปฏิวัติ” ไปสู่ “เศรษฐกิจพอเพียง”
แล้วจะพบสุข!
เปลว สีเงิน
๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๖