เพราะรักท่าน-จึงป่าวร้อง – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

มนุษย์ทั้งโลก…..
ต่างปรารถนาที่จะมี “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ด้วยกันทั้งนั้น!
แล้วรูั้มั้ย?
หลากหลาย “หนึ่งในแสน-ในล้านปรารถนา” นั้น …..
มี “ประเทศไทย-เมืองไทย” อยู่ในปรารถนาของเขาเหล่านั้นด้วย
“ซักครั้งในชีวิต” ขอได้มาเยือนเมืองไทย!

เรา..คนไทย ฟังแล้วอดปลื้ม, อดภูมิใจในชาติบ้านเมืองของเราไม่ได้ จริงมั้ย?

แล้วรู้มั้ย ว่าอะไรคือเสน่ห์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกปรารถนาอย่างนั้น?

วัด-วัง, ศิลปวัฒนธรรม, ความสวยงามบ้านเมือง, อาหารอร่อยและสมบูรณ์, ค่าครองชีพถูก, คมนาคมหลากหลาย, การสื่อสารทันสมัย และฯลฯ

ก็ใช่ แต่นั่นเป็นเพียง “องค์ประกอบ”
งั้น…รอยยิ้มคนไทยหรือ….นั่นก็แค่ “ภายนอก”

ผมจะบอกให้ เสน่ห์ประเทศไทย อยู่ที่พวกเรา “คนไทยทุกคน” นี่แหละ

เพราะทั้งโลก จะหาคนชาติไหนเหมือนคนไทยเป็นไม่มี
ที่อัธยาศัยเป็นมิตร โอบเอื้ออารี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ชอบแบ่งปันผู้อื่น

“เมตตา-อภัย-ใจบุญสุนทาน”
นี้คือลักษณะไทย เป็นชาติเดียวในโลก ที่ใครมาสัมผัสแล้วต้องหลง เพราะโลกรอบตัว ทั้งที่เขาอยู่ และที่ไปสัมผัส
ล้วน “ตัวใคร-ตัวมัน” ซึ่งแสนจะ “แห้งแล้ง”
ไม่มี “แอ่งน้ำใจ” ให้ต่อกัน

ต่อคนต่างบ้าน-ต่างเมืองได้ ชุ่มชื่น-เย็นฉ่ำ เหมือนดั่งได้มาเยือนเมืองไทย-คนไทยเลย!

คนไทยและน้ำใจนี่แหละคือ “เสน่ห์” ของไทย

ที่ใครมาก็หลง จนเป็นร่ำลือด้วยมหัศจรรย์ โดยเฉพาะคนสังคมตะวันตก จึงเป็นที่ปรารถนาของคนที่ยังไม่มีโอกาสมาขอได้มาซักครั้งในชีวิต

วันนี้ ๑๔ สิงหา.หยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๑ พรรษา “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่ ๑๒ สิงหา.

ตอนผมเป็นเด็ก ดูรูปในหนังสือพิมพ์ ก็เกิดความสงสัย ว่าพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชินี ทำไมท่านไม่อยู่สบายๆ ในวัง
ต้องออกมาลำบากตรากตรำทำไม?

วันๆ เห็นแต่ทรงนั่งรถลุยฝุ่นคลุ้งบ้าง ทรงลุยโคลนบ้างเยี่ยมไต่ตามสารทุกข์สุขดิบชาวบ้านไปทั่ว โดยเฉพาะภาคอีสานเป็นประจำ

ไปดูน้ำ ไปดูดิน ทรงคลุกฝุ่น กลางแดดเปรี้ยงๆ ซึ่งไม่รู้จะไปดูอะไรของท่าน?

ผมก็สงสัยตามประสาเด็ก ที่อยู่กับดินกับโคลนเป็นปกติชีวิตจนไม่เห็นจะต้องไปทำอะไรกับสิ่งเหล่านั้น

ไม่เคยรู้ว่า “คำว่าความเจริญ” คำว่า “ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” มันเป็นยังไง?

พระองค์ท่านนำคณะแพทย์ไปด้วย มีชาวบ้านมารับการตรวจ การรักษามากมาย พระราชินีไม่มีอาการรังเกียจชาวบ้านเลย ทรงมาไต่ถาม พูดคุยใกล้ๆ บางครั้งเห็นในรูป หน้าแทบจะชนหน้า

ผมยังนึกเลย ตอนผมเจ็บป่วย แม่ยังไม่ดูแลผมใกล้ชิดขนาดนี้ ปล่อยนอนกลางบ้าน

ตอนเช้ากับเย็นเท่านั้น มาจับผมขี่คอ ไปหา “ย่าใหญ่”

ท่านเป็น “หมอกลางบ้าน” เขาเรียก “ย่าใหญ่” กันทั้งตำบล ใครเป็นอะไร ก็มาหาย่าใหญ่-หมอวิเศษประจำตำบล

ย่าใหญ่รักษาได้หมดทุกโรค….
เพียงฝาละมี ๑ ฝา กับรากอะไรไม่รู้ ฝนๆ กับฝาละมี

เอานิ้วชี้ ที่ไม่เคยเห็นย่าใหญ่ล้างปาดยา
แล้วบอก…เอ็งอ้าปาก จากนั้น ก็เอานิ้วมหากาฬล้วงเข้าไปกวาดคอจนถึงลิ้นไก่

ถึงบัดนี้ ยังจำติดตา ล้วงทีไร ผมแหกปากร้องจนแม่ซัดเผียะๆ ที่ก้นทุกที เสร็จกรรมวิธีรักษา แม่ก็แบกผมขึ้นบ่ากลับบ้าน

ไม่ตาย กลับหายแฮะ!

ครั้นโตขึ้น ค่อยรู้ความ ว่าที่พระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีไม่ประทับอยู่วัง แต่กลับเสด็จฯ ประหนึ่งระหก-ระเหินไปทุกถิ่นทุรกันดาร นั้น

ทั้ง ๒ พระองค์ ประหนึ่ง “บิดร-มารดา” ห่วงใย อาทร ชีวิตความเป็นอยู่พสกนิกรของพระองค์ผู้ยากไร้ตามแถบถิ่นชนบท

ไม่ว่าใกล้-ไกลขนาดไหน เมื่อทรงทราบว่า พวกนิกรของพระองค์อยู่ที่นั้น ทั้งสองพระองค์ทรงลุยไปเยี่ยมเยียน ทรงไต่ถามถึงปัญหา ถึงอุปสรรคในการประกอบอาชีพ

ก็ทรงทราบว่า “น้ำ-ความแห้งแล้ง” คือปัญหาใหญ่ของคนในชนบท

เพราะอย่างนี้นี่เอง ที่สงสัยว่าพระองค์ทรงลุยให้ลำบาก-ลำบนเพื่ออะไร ก็เพื่อทรงไปสำรวจดิน และสำรวจ “แหล่งต้นน้ำ” เพื่อสู่การแก้ไขที่ต้นราก สู่ความยั่งยืนนั่นเอง

เมื่อผมมีชีวิตผ่านประสบการณ์โลกและชีวิตมากขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น สมัยก่อน “อีสาน” คู่กับคำว่า “แล้ง” คู่กับคำว่า “ยากจน”

แต่พอมีน้ำ “แผ่นดินแล้ง” ก็เปลี่ยนเป็น “แผ่นดินทอง” ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น อีสาน-เหนือ-ใต้ ได้รับการพัฒนาดีขึ้นเป็นลำดับ

ณ วันนี้ “อีสาน” กำลังฟอร์มตัวเป็นภูมิภาค “ศูนย์กลางเศรษฐกิจ-การลงทุนและการคมนาคม” แทนกรุงเทพฯ!

อาจพูดได้ว่า กว่าค่อนพระชนม์ชีพของทั้งสองพระองค์ ทรงอยู่กับอยู่กลางดิน กลางทราย กลางป่า กลางดง กับชาวบ้าน ทั้งอีสาน ทั้งเหนือ ทั้งใต้ มากกว่าประทับอยู่ในพระราชวัง

เด็กๆ ก็นึกว่า เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ แสนจะสุขสบาย
ครั้นมาตอนนี้ ความรู้สึกนั้นหายไป เปลี่ยนเป็น “สงสารพระองค์ท่าน”

เมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระราชินี
ทั้งพระชนม์ชีพ ล้วนเป็นไปเพื่อพสกนิกร เพื่อแผ่นดินไทยเป็นสุข แทบไม่มีสิ่งไหนเลย เพื่อสนองสุขของทั้งสองพระองค์

ข้าพระพุทธเจ้า เข้าใจแล้ว กับคำที่พระองค์ตรัส
คือ “ปิดทองหลังพระ” นั้น มีคุณค่ามหาศาลขนาดไหน

เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามขนาดไหน

นั่นคือ “สุข” ที่ปรารถนาของพระบิดร-มารดาแผ่นดินทั้งสองแท้จริง มิใช่การอยู่นิ่ง หรือประทับอยู่ในปราสาทพระราชวัง

ขอกราบผ่านแผ่นดินไปแทบพระบาทพระองค์ทั้งสอง บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้ว
ว่า “เวียงวัง” ของพระองค์ท่าน

คือ “แดนกันดาร” ที่ทรงเสด็จฯ ไปพลิกฟื้นให้เป็น “แผ่นดินวิมานทอง” ของชาวบ้านผองไทยได้เป็นสุขนั่นเอง!

ที่ผมเล่ามานี้ ก็ประจวบเหมาะ มีเรื่องดีๆมาฝากแฟนๆ

“โรงพยาบาลราชวิถี” ครับ!
ตรงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั่นแหละ

๗๐ กว่าปีผ่านไป โรงพยาลบาลราชวิถี “ขยายเท่าไหร่” ก็ไม่พอรองรับคนเจ็บป่วย

ปัจจุบัน โรงพยาบาลราชวิถี เป็น โรงพยาบาลศูนย์ของ “กรมการแพทย์” ที่ใหญ่ที่สุด

ไม่ใช่เพื่อรักษาคนกรุงเทพฯ นะ

หากแต่เป็นศูนย์รับส่งต่อผู้ป่วยที่มีความซับซ้อน จากทั่วทุกภูมิภาคประเทศ เรียกว่า หนักเกินที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดจะรักษา ก็ส่งมาที่ราชวิถี

ทุกวันนี้ มีผู้ป่วยนอก กว่า ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน/ปี มารับการรักษา และที่ป่วยฉุกเฉิน ก็มากกว่า ๗๒,๐๐๐ ราย/ปี!

ผมเคยไปโรงพยาบาลราชวิถี โผล่เข้าไป

โอ้โฮ…แต่ละห้องรักษาโรค คนรอรักษาเหมือนมด-เหมือนปลวก จนนึกสงสัย คนไทย ๗๐ ล้านคน น่าจะป่วยกันมากกว่าครึ่ง?

คนไข้แต่ละรายนั้น จริตไม่เหมือนกัน บางคนก็ดี บางคนก็เอาแต่ใจ

แต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลราชวิถีเขาดีเหลือเกิน อดทน มีเมตตา อัธยาศัยไมตรีดีกับคนไข้ทุกคน เป็นผมนะ ปรอทแตกไปแล้ว

เพราะแพทย์ดี เจ้าหน้าที่ดี เครื่องมือทันสมัย คนไข้จึงล้นยิ่งกว่าคอนเสิร์ตลิซ่า

ตอนนี้เกิดปัญหา ขยายแล้ว-ขยายอีก ก็ยังไม่พอ

ห้องฉุกเฉิน มีผู้ป่วยแออัดมากเกินรับรักษาทัน และการส่งผู้ป่วยวิกฤติจากจุดรับส่งถึงห้องฉุกเฉินก็ไม่สะดวก บางครั้ง ให้การรักษาไม่ทัน!

ในโอกาสครบรอบ ๗๒ ปี โรงพยาบาลราชวิถี
ได้ก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาและรองรับผู้ป่วย

แต่อย่างว่าแหละ ยังขาดงบการก่อสร้าง รวมทั้งอุปกรณ์ และครุภัณฑ์การแพทย์อีกจำนวนมาก

สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพฯ ร่วมกับ มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลราชวิถี
ได้จัดผ้าป่ามหากุศล “ดีต่อใจ ได้ต่อบุญฯ”

เพื่อนำเงินสมทบทุนปรับปรุงสถานที่ จัดซื้ออุปกรณ์ ครุภัณฑ์การแพทย์ สำหรับอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ผมทราบจึงนำมาบอกท่าน

แต่ละปี คนได้รับการรักษาจากราชวิถีร่วม ๒ ล้านคน ช่งช่วยสละกันซักคนะ ๑๐๐ บาท ก็พอครับ

ช่วยกันสร้างโรงพยาบาลเพื่อทุกคน ซึ่งเป็นมหากุศล
ก็ส่งเงินตามนี้นะครับ มาก-น้อยตามศรัทธา

๑.มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี ตึกสิรินธร ชั้น ๑ และอาคารทศมินทราธิราช ชั้น ๒

๒.โอนเข้าบัญชี เลขที่ ๐๕๑-๒๘๔-๑๔๗-๑ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา รพ.ราชวิถี

ส่งสลิปโอนเงิน ที่อยู่ เพื่อรับใบเสร็จทางไปรษณีย์ ใช้ลดหย่อนภาษีได้ ๒ เท่าครับ
ID Line @ 406 dvazd
หรือ E-mail [email protected]

พิธีทอดผ้าป่า ๑๘ สค. ๑ ทุ่ม เจริญพระพุทธมนต์

๑๙ สค. ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ทอดผ้าป่า ณ ห้องพิบูลสงคราม ชั้น ๑๒ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ รพ.ราชวิถี

พระครูสมุห์สุชิน ปริปุณโณ วัดธรรมสถิต ระยอง พระอาจารย์ไพรินทร์ สิริวัฑโฒโน วัดสังฆทาน นนทบุรี
และพระอาจารย์สัมฤทธิ์ ฐิตสิทธิ วัดถ้ำจุนโทปฎิปทาราม ตาก ประธานฝ่ายสงฆ์

สอบถามเพิ่มเติมที่ ๐-๒๓๕๔-๗๙๙๗-๙ ต่อ ๑๐๑, ๑๐๕ หรือ ๐๘-๙๕๑๔-๖๒๖๐
ไม่มีบุญใดยิ่งใหญ่ไปกว่าบุญสร้างโรงพยาบาลแล้วครับ ขอบอก.

เปลว สีเงิน

๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๖

Written By
More from plew
แอมเนสตี้-หน้ากากทูต-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน แอมเนสตี้คือใคร? คือคนกลุ่มหนึ่งประเภทตั้งตนเป็น “ขาใหญ่” มีเครือข่ายกระจายไปหลายประเทศในโลก สถาปนาเป็น “ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน” “นักบุญเผือก” ภาคเอกชน ทำนองเดียวกับ NGO
Read More
0 replies on “เพราะรักท่าน-จึงป่าวร้อง – เปลว สีเงิน”