ผักกาดหอม
มันเป็นเช่นนั้นเอง!
“…ความเป็นเช่นนั้นเอง พูดได้ด้วยคำเพียง ๓ พยางค์ว่า ‘เช่นนั้นเอง’ รู้ ‘เช่นนั้นเอง’ ถึง ‘เช่นนั้นเอง’ นี้คือรู้พุทธศาสนาหมดสิ้น…”
การแสดงธรรมของ “พุทธทาสภิกขุ” ณ หินโค้ง สวนโมกขพลาราม ไชยา, ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓
ครับ…ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวานนี้ (๒ สิงหาคม) ใช้เหลี่ยมคู ชิงไหว ชิงพริบ เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
หากเข้าใจการเมืองไทย การตั้งคำถามเรื่องทำไมฝ่ายประชาธิปไตยหักหลังกันเอง? ทำไม พรรคเพื่อไทย ทรยศ ก้าวไกล? จะไม่เกิดขึ้น
เพราะการเมืองมันเป็นเช่นนี้
“….คำนี้สำคัญมาก เรียกว่าเป็นคาถาวิเศษสำหรับเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือคำว่า ‘ตถาตา’ แปลว่า ‘มันเป็นเช่นนั้นเอง’ อะไรๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ จะไปฝืนมันก็ไม่ได้ มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เราจึงควรจะคิดว่า เออ! ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น….”
ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อปัญญา
ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ จะมองการเมืองไทยได้ทะลุปรุโปร่งขึ้น
พรรคก้าวไกล จบเส้นทางการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่วันที่ เสียตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้พรรคเพื่อไทย ที่มี “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” เป็นร่างทรง
วันนั้นคือวันที่ พรรคก้าวไกล สูญเสียอำนาจการต่อรองทางการเมืองทั้งหมดให้แก่พรรคเพื่อไทย เพราะความไม่เข้าใจ ความหมายของคำว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
พรรคก้าวไกลพยายามจะสร้างมิติใหม่ทางการเมือง มีความมั่นใจในตัวเองสูง สร้างประเด็นที่ล่อแหลมเพื่อเอาใจมวลชน มีทิศทางที่ไม่เหมือนใคร แหวกแนวชนิดไม่มีใครกล้าตาม สุดท้ายไม่มีเพื่อน
เพราะพรรคก้าวไกลไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง
แต่เล่นการเมืองโดยใช้จินตนาการนำข้อเท็จจริง
จากเก้าอี้นายกฯ อยู่แค่เอื้อม เป็นรัฐบาลไปค่อนตัวแล้ว แต่วันนี้พรรคก้าวไกลกำลังกลายเป็นฝ่ายค้าน
พรรคก้าวไกลมิได้ไม่รู้จักการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ยังไม่ชอบใจ วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ของสังคมไทย
ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับตัวเองอย่างไร หลังจากที่ได้รับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและทำนั้น นำไปสู่การถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง
ฟังคำแถลงของ “ชัยธวัช ตุลาธน” แล้วไม่แปลกใจที่พรรคก้าวไกลอยู่ในสภาพเหมือนถูกหลอกจนวินาทีสุดท้าย
รู้ตัวอีกทีเป็นหม้ายขันหมาก เจ้าบ่าวแอบไปแต่งกับหญิงอื่นเสียแล้ว
การแก้ ม.๑๑๒ คือจุดตายของ พรรคก้าวไกล
หลายฝ่ายย้ำเรื่องนี้มานานเป็นเดือนๆ ว่าหากพรรคก้าวไกล ไม่ลดเพดาน ไม่มีทางจะได้เป็นรัฐบาล
แต่ “ชัยธวัช” ยังเชื่อว่า นโยบายแก้ ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกล ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่เป็นความต้องการของกลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มทุน ที่ไม่ต้องการให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล
ไปเอาความเชื่อนี้มาจากไหน
มาถึงขั้นนี้แล้ว หากยังตีโจทย์ไม่แตก ก็เป็นเรื่องยากที่พรรคก้าวไกลจะได้อำนาจในการปกครองประเทศ
หากพรรคก้าวไกล ไม่มีนโยบายแก้ ม.๑๑๒ ไม่มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบัน หรือคอยให้การสนับสนุนทุกวิถีทางแก่มวลชนที่ทำผิด ม.๑๑๒ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่วุฒิสมาชิก รวมทั้งพรรคการเมืองเกือบทั้งหมด จะบอยคอต พรรคก้าวไกล
อย่าลืมนะครับ แม้กระทั่งเอ็มโอยู ๘ พรรค ยังเบรกไม่ให้พรรคก้าวไกล ใส่การแก้ ม.๑๑๒ เข้าไป
นี่คือจุดเริ่มต้นที่พรรคก้าวไกลต้องเข้าใจ ความเป็นเช่นนั้นเองของการเมืองไทย ด้วยซ้ำไป
แต่พรรคก้าวไกล บ้าบิ่น กระเหี้ยนกระหือรือ จะแก้ ม.๑๑๒ ให้ได้ แม้จะถูกโดดเดี่ยวในแง่นโยบายก็ตามที มั่นใจถึงกับประกาศไปทั่วว่า ไม่ลดเพดานแก้ ม.๑๑๒ ท้าทาย ข่มขู่ สว. ว่าต้องโหวตให้ก้าวไกล อ้างประชาชน ๑๔ ล้านเสียงเลือกก้าวไกลมา แต่อีกด้านกลับเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ เพื่อปิดสวิตช์ สว.
ห้าวหาญ ไม่แคร์ใคร ไร้เพื่อน วิถีการเมืองแบบก้าวไกล จึงไปต่อไม่ได้
แต่เลือกตั้งครั้งถัดไป หากเกิดหลัง สว.ชุดปัจจุบันหมดวาระลง การเมืองอาจจะเปลี่ยน
ถือเป็นเดิมพันประเทศไทย พรรคการเมืองจะมี ๒ ขั้วชัดเจน
คือพรรคที่แก้ ม.๑๑๒
กับพรรคไม่แก้ ม.๑๑๒
เริ่มมีการพูดถึงพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งถัดไปกันแล้วว่า อาจแลนด์สไลด์ ชนะเลือกตั้งถล่มทลายสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
นั่นจะทำให้ก้าวไกลสามารถเสนอกฎหมายที่อยากจะเสนอได้ทุกฉบับ
รวมทั้งแก้ ม.๑๑๒
และแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อหมวดพระมหากษัตริย์
แต่…นั่นต้องผ่านด่านสำคัญอีกด่านให้ได้ก่อน ถ้าผ่านไม่ได้ก็จบ
ครับ…ขึ้นกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีที่ พรรคก้าวไกล และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ถูกร้องว่า เสนอร่างกฎหมายแก้ ม.๑๑๒ เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง หรือไม่
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง พรรคก้าวไกล สามารถนำไปใช้หาเสียงได้
จะเป็นการเผยโฉมการเมืองหน้าใหม่ โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหยื่อของนักการเมือง
ความขัดแย้งของประชาชนจะถลำลึกไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ทุกครอบครัว สมาชิกจะมองหน้ากันไม่ติด
สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด จะปรากฏไปทั่ว
แต่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการล้มล้างการปกครอง จะไม่มีพรรคการเมืองไหนแตะ ม.๑๑๒ อีกต่อไป
เว้นเสียว่าพรรคก้าวไกลซึ่งหากไม่ถูกยุบไปเสียก่อน ดื้อแพ่ง นำการแก้ ม.๑๑๒ ไปปลุกระดมต่อ โดยไม่สนใจผลพวงที่จะตามมา
นั่นแสดงว่าพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะก่อสงครามกลางเมืองแล้ว
ถอดแบบจากการปฏิวัติฝรั่งเศสนั่นเอง
พอมีวิธีไม่ให้พรรคก้าวไกลเติบโตไปกว่านี้ เพราะเอาเข้าจริง ๑๔ ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล มิได้มีความปรารถนาที่จะแก้ ม.๑๑๒ ไปเสียทุกคน
ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
แต่ที่เลือกเพราะไม่อยากเกณฑ์ทหาร เพราะเงินเดือนผู้สูงวัย ๓ พันบาท ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปี เริ่มต้นที่ ๔๕๐ บาท ทำงานไม่เกิน ๔๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นั้นมหาศาล
อยู่ที่ฝีมือรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำว่าตีโจทย์นี้แตกหรือเปล่า
แต่หากได้เป็นรัฐบาลแล้ว พฤติกรรมซ้ำรอยรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ก็จะเป็นหัวเชื้ออย่างดีที่จะทำให้พรรคก้าวไกลได้รับความนิยมมากขึ้น
วันหนึ่งหากประชาชนเลือกก้าวไกลเกินครึ่งสภา ก็ยากที่จะแก้ไขอะไรได้อีก เพราะถือเป็นความต้องการของประชาชนเสียงส่วนใหญ่
ฉะนั้นคดี “ก้าวไกล-พิธา” หาเสียงแก้ ม.๑๑๒ จึงมีความสำคัญกว่าที่หลายๆ คนคิด
ถึงขั้นชี้ชะตาประเทศ