11 กรกฎาคม 2566- ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หมายเลขดำอ.1853/2563 ที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หน.พรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีที่นพ.วรงค์ จำเลยเปิดโปงข้อมูลว่า คณะก้าวหน้ามีการอมเงินบริจาคโครงการเมย์เดย์ ที่จัดระดมทุนช่วยเหลือนักดนตรีช่วงโควิด-19
จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า จำเลยแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนที่ย่อมกระทำได้ จึงไม่มีความผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย
โดยวันนี้นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี จำเลยเดินทางมาศาล พร้อมกล่าวถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันประชุมรัฐสภา 13 ก.ค. ว่า ตามหลักการคิดว่าคนที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ก็ควรมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลแต่ทั้งนี้บังเอิญว่าคนที่รวมเสียงข้างมากได้ครั้งนี้ มีความผิดปกติคือเสี่ยงต่อการล้มล้างการปกครอง การแบ่งแยกแผ่นดิน ตนเชื่อว่าสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ต้องพิจารณา ให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าผู้ที่เลือกมามีเหตุที่จะสร้างปัญหาให้ประเทศหรือไม่ โดยเฉพาะ มาตรา112 การล้มล้างสถาบันฯ การปกครองแบ่งแยกแผ่นดิน
ส่วนตัวสนับสนุนพรรคก้าวไกลที่ได้เสียงข้างมาก แต่บังเอิญว่ามี 2 ประเด็นใหญ่ที่ทำให้คาใจ อีกทั้งช่วงหลังมีการกดดันสว.มากขึ้นเอามวลชนมากดดันซึ่งถือว่าจะทำให้เสียคะแนน ความจริงอยากให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ จะได้ดูว่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้พรรคก้าวไกลที่ได้เสียงจากประชาชนมา นั่นไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศแต่เอาเสียงอื่นมาผสม ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ผูกมัดกับมาตรา 112 ดังนั้นการที่เอามาตรา 112 มาผูกมัดกับ 14 ล้านเสียงที่เลือกถือเป็นการมโน
เมื่อถามว่าส่วนตัวคิดว่าการโหวตนายกฯจะจบตั้งแต่วันแรกเลยหรือไม่
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ด้วยมารยาทควรจบตั้งแต่วันแรกแต่ถ้าไม่จบถือว่าตกรอบแล้ว ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่น นั่นคือสปิริตไม่ใช่ว่าจะถูไถไปเรื่อยๆด้วยหลักของประชาธิปไตยถ้าญัตติไหนตกไปแล้วก็ต้องตกไป เปิดโอกาสให้พรรคอื่นได้รวบรวมเสียงข้างมากต่อไป
ทั้งนี้มวลชนที่จะมาชุมนุม มองว่ายิ่งถ้ามีการแสดงออกก็อาจทำให้สว.แต่ละคนมีสติในการเลือก การกดดันอาจจะทำให้ยิ่งเกิดผลเสีย คนจะยิ่งเป็นห่วงชาติบ้านเมือง ถ้าคุณไม่กดดันคุณอาจจะได้ ถ้ากดดันก็อาจจะไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วเห็นว่า น.ส.พรรณิการ์เป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนรู้จัก การที่นพ.วรงค์เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการแสดงความเห็นสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนที่ย่อมทำได้
อีกทั้งรายชื่อ 11 คนที่รับเงินบริจาคไปตามที่นพ.วรงค์กล่าวอ้าง ตรวจสอบแล้วไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร จึงไม่มีตัวตนที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง
นพ.วรงค์ กล่าวว่า การฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำของกลุ่มที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 เป็นการฟ้องเพื่อปิดปากตนที่ได้ออกมาแสดงความเห็นต่างๆ จึงอยากเรียกร้องให้จากนี้ต่อไปกลุ่มดังกล่าวออกมาต่อสู้กันด้วยอุดมการณ์ทางความคิดอย่างเป็นธรรม
ส่วนตัวถูกกลุ่มดังกล่าวฟ้องมา 3 คดี ได้แก่คดีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนางสาวพรรณิการ์ แกนนำคณะก้าวหน้า
นพ.วรงค์ กล่าวว่า คดีของนายพิธา และ นางสาวพรรณิการ์ยกฟ้องแล้ว เหลือเพียงคดีของนายธนาธร ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ฉะนั้นขอให้นายธนาธรถอนฟ้องคดีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะตนคิดว่าอย่างไรก็แพ้คดี