คลิกฟังบทความ..?
เปลว สีเงิน
เมื่อวาน “พาพ่อ-พาแม่” ไปทำบุญที่วัด แถวย่านบางขุนพรหม
เวลาทำบุญน่ะ ไม่นาน
แต่เวลาทำใจเพราะรถติด “โคตรนาน” จากบางขุนพรหมถึงประชาชื่น ร่วม ๒ ชั่วโมง!
รู้สึกได้เลยว่า สิ่งที่คนในกรุงพล่าผลาญชนิดสูญเปล่าไปมากที่สุดคือ “เวลา”
ถ้าตีเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ผมว่าการคอรัปชั่นเป็นรองความสูญเปล่าด้านเวลาเดินทาง
ขนาด “เซาท์ เปาโล” เมืองศูนย์กลางธุรกิจบราซิล รถติดยาว ค่อยๆ กระดืบเป็นหอยทาก
เขาบอกเลยว่า จะไปไหน นัดหมายเวลาไว้ ต้องเผื่อการเดินทางเข้าไปอีกครึ่งชั่วโมง!
เทียบกับกรุงเทพฯ “เซาท์ เปาโล” ตกอันดับไปเลย!
ที่พูดนี่ ไม่ได้เคลมว่าบ้านเราแย่ เพราะเข้าใจธรรมชาติเมืองใหญ่ ไม่ว่าที่ไหนในโลกก็ติดเหมือนๆ กัน
“ยิ่งแก้-ยิ่งติด”
ติดจากการจราจรพื้นฐานแล้ว ยิ่งติด “ทั้งคน-ทั้งการก่อสร้าง” ยิ่งเข้ามาเติม เสริมการติดด้วยการกั้นถนน-ปิดถนนก่อสร้างเป็นปีๆ
จากตรงนั้น-ไปตรงนี้ รวมแล้ว การแก้ทั้งปี เท่ากับเพิ่มการติดต่อเนื่อง “ตลอดปี-ตลอดชาติ”
เราเรียกการติดแบบนี้ว่า “ติดเพื่ออนาคตที่คล่องปรื๊ด”!
นี่ผมจำมาจากเมือง “มุมไบ” น่ะ
เคยไปนานแล้ว จำได้ว่ารถติดเพราะก่อสร้างเพื่อการจราจรนี่แหละ เขามีป้ายติดไว้ ถามไกด์ เขาเขียนว่ายังไง?
ไกด์ก็บอก “ติดเพื่ออนาคตที่คล่องปรื๊ด” ประมาณนั้น!
พูดกันตรงๆ กรุงเทพฯของเรา สร้างเพื่อคนกรุงถึงล้านคนหรือเปล่า จากเมื่อ ๒๔๐ กว่าปีที่แล้ว ผมก็ไม่แน่ใจ
แต่โครงสร้าง-ผังเมือง เมื่อ ๒๔๐ กว่าปี ยังคงอยู่ในสภาพนั้นกว่า ๕๐% ในขณะที่ประชากรทั้งอยู่อาศัย ทั้งไป-ทั้งมา ยัดเยียดอยู่ในกทม.ไม่ต่ำกว่า ๑๐-๒๐ ล้านคน
เทียบตามสัดส่วนพื้นที่ต่อประชากรและผังเมือง ผู้บริหารกทม.แต่ละท่าน “ในอดีต” นับว่าเก่งทีเดียว
แต่ถ้ามีผู้บริหารกทม.ดังปัจจุบันอีกซักสมัย ซึ่งนอกจากรักษาสภาพดีเดิมๆ ไว้ไม่ได้แล้ว
ยังทำอะไรไม่เป็น นอกจากโม้เก่ง เต้นคิงคองเก่งอย่างเดียว สภาพกทม. “ทุกด้าน” จะโทรมทรุดแล้ว ยังจะสิ้นสภาพความเป็นเมืองหลวงที่น่าเที่ยว น่าเข้ามาจัดประชุม เข้ามาเจรจาธุรกิจ รวมทั้งพักผ่อนลงไปอีกด้วยซ้ำ
ก็ไม่รู้ซินะ….
เห็นแว๊บๆ โพลสำนักไหนไม่รู้ ประกาศผลสำรวจว่า “คนกรุงชมผลงานชัชชาติ ๑ ปี ทำงานเป็นมืออาชีพ”!
มืออาชีพทางโม้หรือทางท่าเต้น “คิงคองตีฉาบ” ผมเชื่อ
แต่ “ทำงานเป็นมืออาชีพ” ผมอยู่นอกจำนวนคน ๑.๓ ล้าน จึงขอ “อกอ.-อ้วกก่อนอวย” ก็แล้วกัน!
“เมืองหลวง” เนี่ยนะ แต่ละแห่ง ไม่เกิน ๒๐๐ ปี เขามักนำปัญหาเกินแก้เป็นบทเรียนไป โดยสร้าง “เมืองหลวงแห่งที่ ๒”
โดยผนวกวิสัยทัศน์ในผังเมืองเผื่ออนาคตไปอีก ๒๐๐ ปีด้วย
อย่างพลเอกประยุทธ์วางยุทธศาสตร์ขยายเขตเศรษฐกิจไปทุกภาค หรือโครงการ EEC นี่ก็นับเป็นการกระจายอนาคตให้สังคมเมืองที่กระจุกตัว คลายตามออกไปทางหนึ่ง
และถ้าเปิดตามองกว้างออกไป….
เราจะเห็นว่าในรอบ ๘ ปี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ วางรากฐานทั้งทางคมนาคมและโทรคมนาคมทุกระบบไปทั้งเหนือ ใต้ กลาง ออก ตก รวมถึงกรุงเทพฯ
เหล่านี้ การก่อสร้าง ต้องใช้ทั้งเวลา ทั้งเงิน ทั้งวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตในศตวรรษที่ ๒๑
ต่างกับนโยบายนักเลือกตั้ง “มืออาชีพ” เมื่อเข้าไปมีอำนาจแล้ว มักใช้นโยบาย “เพาะถั่วงอก”
โรยถั่วเขียวตอนเย็น เช้า…งอกพรึ่ดเต็มตุ่ม
แล้วอวด…นี่ไงผลงาน”!
“เพาะเร็ว-กินเร็ว” นี่คือผลงานนักการเมือง “มืออาชีพ”
เพาะได้ทุกวัน กินได้ทุกวัน มีแรงโม้-แรงเต้น และมีเงินจ้างปั่นกระแสเลี้ยงความเป็น “มืออาชีพ” ได้ทุกวัน
พลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่นักการเมืองเพาะถั่วงอก “โรยเย็น-เห็นเช้า” แต่เป็นนักการเมือง “ปลูกต้นสัก” ซึ่งเป็นความยั่งยืน
กว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลา ๑๐-๒๐ ปีขึ้นไป
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่คนระดับหนึ่ง ตั้งแต่ในสภา ในมหา’ลัย ในเมือง ในชนบท ส่วนหนึ่ง จะตะโกน ว่า
“๘ ปี ไม่มีเห็นมีอะไร…๘ ปี ประเทศมีแต่ถอยหลัง”!
ใช่… “เสรีนิยมถั่วงอก” คนหิวเฉพาะหน้า ไม่ชอบ
ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ใช้วิสัยทัศน์ในตำแหน่งนายกฯ เพาะต้นสัก ปลูกต้นสัก เป็นไม้สู่ความยั่งยืน เพื่อลูก-เพื่อหลานในอนาคต
ส่วนคนหิวเฉพาะหน้า นอกจากไม่ชอบแล้ว ยังตีค่าด้วยว่า นโยบาย “ทำเพื่อส่วนรวม” เราไม่ได้อะไร ซ้ำยังจะตายก่อน
สู้นโยบาย แจก..แจก..แจก ไม่ได้
“ถึงมือ-ถึงตัว” ปุ๊บปั๊บ เอากันปัจจุบัน ส่วนอนาคต เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่ประโยชน์ของกู!
ผมก็เข้าใจธรรมชาติ “สังคมพื้นฐาน” ส่วนใหญ่ของประเทศ พูดกันสวยๆ คนไทย เป็นคน “อยู่กับปัจจุบัน”
“อนาคต” นั้น เป็นสิ่งยังมาไม่ถึง ฉะนั้น ไม่ต้องสน ให้เป็นเรื่องของคนในอนาคต
อืมมมม….
ใคร่ครวญดูแล้ว ตรงข้ามกับ “บรรพบุรุษ” ไทยเราร้อยเปอร์เซนต์!
บรรพบุรุษเรา “ทำปัจจุบันเพื่ออนาคต” แบบเข้มข้น
ไม่เช่นนั้น ทุกบรรพชน นับตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ ทหาร จนถึงอาณาประชาราษฎร์ พ่อค้าวานิช
จะไม่ยอม “สู้สุดใจขาดดิ้น”
เพื่อ “สร้าง-รักษา-สืบต่อ” แผ่นดินไทยผืนนี้ ให้เราทั้งหลายในปัจจุบัน ได้เชิดหน้าอยู่สบาย จนมีแรงทรยศคิดคดขายชาติได้ถึงวันนี้หรอก
ส่วนพวกเราทุกวันนี้ นอกจากไม่คิดถึงอนาคตส่วนรวมแล้ว ยังเอาอนาคตนั้น มาพล่าผลาญ เพื่อการกินอยู่ บำรุง-บำเรอตัวเองในปัจจุบัน
คิดแล้วสงสาร ไม่รู้ว่า “เผ่าพันธุ์ไทย” เราในอนาคต จะอยู่กันในสภาพไหน?
ไทยทุกวันนี้ ร่ำรวย มีอยู่-มีกิน ไม่หมดสิ้น มาจากไหน รู้มั้ย?
มาจากสิ่งที่เรียกว่า “บรรพบุรุษ” สร้างสรรจรรโลงไว้ให้แต่อดีตสู่ปัจจุบันยันอนาคตในชื่อเรียกว่า “ศิลปวัฒนธรรม-ขนบธรรมเนียม และประเพณีไทย”
อีกอย่างหนึ่ง คือวัดวาอาราม โบราณสถาน ถาวรวัตถุ รวมถึงความเป็นบ้าน-เป็นเมือง
“เอกลักษณ์ไทย-ภูมิปัญญาไทย”
นามนี้ติดอันดับโลก มาจากไหน มาจากคนปัจจุบัน นักการเมืองอาชีพปัจจุบัน
หรือมาจาก “บรรพชน” ไทยเราสร้างสรรค์ไว้ให้?
ไม่ต้องตอบ……
ให้แต่ละจิตสำนึกความเป็นมนุษย์แต่ละคนตอบกับตัวเองก็แล้วกัน
นักท่องเที่ยวทั่วโลก มาชมวัดพระแก้ว
มีมั้ย ที่นักท่องเที่ยวมาไทย เพื่อมาชมอุจาดศิลป์สาดสีละเลงกำแพงของไทยยุคใหม่?
คนรุ่นเก่าสร้าง เพื่ออนาคตสดใสของลูกหลาน
คนรุ่นใหม่ทำลาย เพื่ออนาคตหม่นมืดของลูกหลาน
นี่คือ “ภาพสะท้อน” สังคมปัจจุบัน ที่ทอดเงาทาบทับสังคมศตวรรษที่ ๒๑ ของไทย!
ยังโชคอำนวย ให้ ๘ ปี มีพลเอกประยุทธ์เข้ามา “สร้างปัจจุบัน” ทางโครงสร้างเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชาติให้เป็นทางอนาคต สืบต่อจากบรรพชน ที่ทอดทางเป็นโครงสร้างประเทศไว้ให้สืบๆ ต่อ
เอาละมัง………
แทนที่จะได้ฟังเรื่องตั้งรัฐบาล กลับต้องมาฟังคนแก่บ่น มันช่างน่ารำคาญ เนอะ!
ที่บ่นนี่ เป็น “บ่นขัดตาทัพ” น่ะ
เพราะไปวัดแล้วติดแหง็กอยู่ในรถ กว่าจะถึงสำนักงานก็เย็น เลยไม่มีเวลาติดตามข่าวสารการเมืองเละๆ
แต่ต้องคุย จะทำไงล่ะ ก็ต้องดำน้ำดุ่ยๆ ไปอย่างนี้แหละ อย่าถือสา อยากอ่านก็อ่าน ไม่อยาก ก็ผ่านไป
อ่านแล้วเม้นท์ด่าได้ ด่าผ่านสื่อไทยนะ ไม่ต้องกระแดะและอีโก้ โม้กับสื่อนอกหรอก เพราะไทยไม่ใช่เมืองขึ้นเขา
ฉะนั้น ไม่ต้องดัดจริตไปแจกแจงนโยบายขายบ้าน-ขายเมืองอะไรให้มันมากนัก เพราะ “โก้กับโง่” มันเหลื่อมๆ กัน
เพราะเหตุนั้น…….
ราคาหุ้นมันจึงตกเกินพาร์ไปแทบทั้งกระดานแล้วมั้ง?
เปลว สีเงิน
๑ มิถุนายน ๒๕๖๖