พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงผลโพลเดลินิวส์-มติชน รอบ 2 ซึ่งได้รับเสียงโหวตสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด รวมทั้งผลโหวตยังระบุว่าประชาชนจะเลือก ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคก้าวไกลมากที่สุด ว่า
ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความไว้วางใจตนและพรรคก้าวไกลในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ จะเอากำลังใจครั้งนี้ในการลงพื้นที่ให้หนักขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับทีมงานของพรรคก้าวไกล โดยขอยกความดีความชอบให้กับคนที่เป็นคนทำงานของพรรค ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ทีมจังหวัด รวมถึงอาสาสมัคร
เหตุผลที่กระแสพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นต่อเนื่อง นอกจากการทำงานหนักของทุกคนที่มีส่วนร่วมกับพรรค ก็ยังเป็นเรื่องของความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การประกาศโรดแมป 300 นโยบายที่จะตอบโจทย์ประชาชน เป็นแผนเตรียมความพร้อมเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ว่าภายใน 100 วันแรก มีอะไรที่ไม่ต้องใช้งบประมาณหรือไม่ต้องเขียนกฎหมายใหม่ ทำให้ประชาชนจับต้องและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หวยใบเสร็จช่วยเอสเอ็มอี เชื่อว่าทั้งหมดจะสร้างความเชื่อใจและความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนได้ และขอยืนยัน “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง”
พิธากล่าวต่อว่า ถ้าดูจากการตอบรับของพี่น้องประชาชน และตัวเลขจากโพลต่างๆ คาดว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านในปัจจุบัน รวมถึงพรรคใหม่ๆ ที่ประกาศเป็นฝ่ายประชาธิปไตย จะจับขั้วกันได้เกิน 250 คน อย่างไรก็ตาม 14 วันสุดท้ายอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเราจะไม่ประมาท จะทำงานอย่างหนักมากขึ้น และมีสมาธิในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อให้สามารถมีเสียงมากพอรวมกันเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก หากเป็นเช่นนั้น วุฒิสภาที่มีวาระปีนี้เป็นปีสุดท้าย ต้องเคารพมติของประชาชน
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตนเชื่อว่าหลักในการตัดสินใจขึ้นอยู่กับวิธีการตั้งคำถามว่าเลือกตั้งครั้งนี้ทำไปเพื่ออะไร ถ้าท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทำไปเพื่อแค่อยากจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ยังอยู่ในโครงสร้างแบบเดิม ๆ รัฐราชการแบบเดิม ๆ การบริหารเศรษฐกิจแบบเดิม ๆ ท่านคงจะโหวตอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าท่านคิดว่าที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหายและการเลือกตั้งครั้งนี้ คำถามคือการรื้อโครงสร้างมากกว่าแค่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือแค่เปลี่ยนข้างเปลี่ยนขั้วที่ความจริงแล้วก็ย้ายกันไปย้ายกันมาตลอดเวลา ท่านก็จะเลือกอีกอย่างหนึ่ง
สำหรับพรรคก้าวไกล เราคิดว่าทางรอดของประเทศไทยคือการรื้อโครงสร้างของประเทศทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเป็นธรรม กระจายอำนาจให้ประชาชนได้เลือกผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด มีงบประมาณเพียงพอให้ท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ รวมถึงการทำให้ประเทศไทยมีการเมืองดี ประชาธิปไตยเต็มใบ ไม่มีรัฐประหารอีก
ส่วนที่บางคนบอกว่าพรรคก้าวไกลไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศนั้น พิธากล่าวว่าประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในการบริหารประเทศ เพราะมีทั้งประสบการณ์ที่ถูกและประสบการณ์ที่ไม่ถูก ปัจจุบันนี้สิ่งที่เราเผชิญไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกรวน การดิสรัปชั่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่างๆ ตนไม่แน่ใจว่าคนที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์แบบเก่าๆ หรือไม่ หรือเป็นคนที่เข้าใจความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ของประเทศ
ต่อคำถามที่ว่า ถ้าได้นายกฯ ชื่อ พิธา จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ตนอยากให้ลองคิดตามว่า ประเทศไทยเป็นคนคนหนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมาเป็นคนที่หัวโตตัวลีบ เศรษฐกิจโตกระจุกอยู่กับกลุ่มคน 1 เปอร์เซ็นต์ การบริหารราชการ งบประมาณ เศรษฐกิจอยู่ใน กทม. อย่างเดียว ถ้าโควิดมาล็อก กทม. ครั้งหนึ่ง เศรษฐกิจจะหายไป 45%
ถ้านายกฯ ชื่อพิธาเมื่อไร ประเทศไทยจะเป็นคนที่ร่างกายสมดุลและแข็งแรงมากขึ้น จะผ่านกฎหมายให้เห็นชัดๆ ทั้งเรื่องสุราก้าวหน้า การกระจายอำนาจ สมรสเท่าเทียม รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา
ช่วงโค้งสุดท้าย ความตั้งใจของเราสั้นๆ ง่ายๆ ว่าจะต้องมีปรากฏการณ์สามย่านเกิดขึ้นที่สี่มุมเมืองทั่วประเทศไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ภูเก็ตเมื่อวานนี้ (28 เมษายน) ดังนั้นในวันที่ 30 เมษายน จะไปที่เชียงใหม่ ลงพื้นที่เป็นดาวกระจายให้มากขึ้นเพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ให้เขาเชื่อมั่นว่ารัฐบาลก้าวไกลจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม แต่ดีกว่าเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต