ผักกาดหอม
ไม่รู้บวกหรือลบครับ ตอบไม่ได้จริงๆ
คนเขียนจดหมายฉบับที่ ๑๐ ให้ “ลุงป้อม” เหลือเกินจริงๆ
เสี้ยมให้ทะเลาะกับ “ลุงตู่” ซะงั้น
คืออย่างนี้ครับ…
ตั้งแต่จดหมายฉบับแรกออกมา “ลุงป้อม” แอ่นอกชี้แจงว่า ทีมงานเขียนให้ ไม่ได้เขียนเอง แต่ตรวจทุกตัวอักษร
หมายความว่า…จดหมายเขียนอย่างไร “ลุงป้อม” อ่านแล้วก็อนุมัติให้เผยแพร่ตามนั้น
มาฉบับหลังๆ เฉี่ยวไปหา “ลุงตู่” อยู่เรื่อย ก็เลยสงสัยว่า “ลุงป้อม” ได้อ่านจริงหรือเปล่า เพราะจดหมายทุกฉบับ จะเน้นคำว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”
จะข้ามอย่างไร ในเมื่อหยิก “ลุงตู่” อยู่เรื่อย
ฉบับที่ ๑๐ เริ่มหนักขึ้นครับ เริ่มต้นมาซัด หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ไปเต็มๆ “…ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่าระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ‘ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย’
ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบ ‘ชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู’ ด้วยท่าทีของการ ‘ปลุกระดม’ ให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้
ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ‘ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง’
และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลายๆ คนพยายามคิด และพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็น ‘ตัวเลือกใหม่’ หรืออะไรอย่างนั้น
แต่ผมรู้สึก และเกิดเป็นความคิดจริงๆ ว่า ‘การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ …”
ใช่ครับ “พีระพันธุ์” ปราศรัย แบบนั้นจริง แต่ก็มีมูลเหตุจากพฤติกรรมของขบวนการล้มเจ้า
หรือ “ลุงป้อม” คิดว่าขบวนการนี้ไม่มีจริง
ส่วนฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ตัดรอน “ลุงป้อม” นะครับ
ระดับแกนนำ เขายังกั๊กอยู่
ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรเสียเรื่องที่ “ลุงป้อม” ชูนโยบาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นหลัก ก็ถือว่าประเทศ ประชาชน ได้ประโยชน์
ถือเป็นนโยบายสำคัญ ที่ไม่มีพรรคการเมืองไหนเสนอ
เพียงแต่การก้าวไปสู่จุดนั้นได้ มันต้องมีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่หลังเลือกตั้ง หรือตอนเป็นรัฐบาล
เพราะถึงตอนนั้นการเมืองมันแบ่งขั้วโดยปริยายอยู่แล้ว มีรัฐบาล มีฝ่ายค้าน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน
จดหมายฉบับที่ ๑๐ อ่านจบแล้ว คนเขียนยก “ลุงป้อม” เป็นพระเอก “ลุงตู่” เป็นผู้ร้าย ก็เลยสงสัยว่า ต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง หรือก้าวข้ามขั้วกันแน่
ในจดหมายพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนกติกาเลือกตั้งเป็น บัตร ๒ ใบ หาร ๑๐๐ ว่าคือผลงานการ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ของ “ลุงป้อม” โดยมีอุปสรรคคือ “ลุงตู่”
“…ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ ‘พลังประชารัฐ’ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ๆ กันว่าแม้แต่ ‘ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล’ ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า ‘ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร ๕๐๐’ เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่…”
คนเขียนจดหมายให้ “ลุงป้อม” น่าตีจริงๆ
เรื่องนี้ “ลุงตู่” โดนแฟนคลับตำหนิเยอะนะครับ โทษฐาน ปลุกระบอบทักษิณให้ฟื้นคืนชีพ
เบื้องลึกเบื้องหลัง บางส่วนก็เป็นไปตามจดหมายนี้ แต่ยังมีบางส่วนในจดหมายไม่พูดถึง โดยเฉพาะเงื่อนปมที่ต่อเนื่องจากการแทงข้างหลังช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“ลุงป้อม” เองก็โดนคนใกล้ชิดปั่นหัวเยอะครับ
คนปั่นก็คือคนที่แทงข้างหลัง “ลุงตู่” นั่นแหละ
แถมคนแทงหลังยังเป็นมือดีลกับพรรคเพื่อไทย คุยภาษาเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” เสียด้วย
ฉะนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้กติกาเลือกตั้ง จึงมีเงื่อนปมลับลวงพราง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาคือ เอื้อประโยชน์กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่
พรรคเพื่อไทยถึงได้คึกหนัก จะเอาแลนด์สไลด์ให้ได้
แต่พรรคพลังประชารัฐสิครับ หดลง!
ในแง่การเลือกตั้ง “ลุงป้อม” แทบไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย
หรือมีดีลอื่น?
ก็ไม่รู้สิครับ
แต่เอาล่ะ ไหนๆ ก็ก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว ก็ต้องเชียร์ “ลุงป้อม” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันต่อไป เพราะไม่มีใครเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว
และเพื่อให้ การก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น “ลุงป้อม” เองก็ต้องตกน้่ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ ป.ป.ช.เปิดเผยรายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี “ลุงป้อม” จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรทราบ
กรณีไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับหลายรายการ
ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวครับคดีนี้ “ลุงป้อม” ผ่านฉลุย ป.ป.ช.เคาะว่า ไม่ผิด เพราะเป็นการยืมใช้คงรูป และส่งคืนเมื่อใช้เสร็จ
ฉะนั้น ป.ป.ช.เปิดเลยครับ เปิดทุกตัวอักษร
จะเป็นการช่วยสร้างความน่าเชื่อถือของ “ลุงป้อม” ไปในตัว
แต่ กระบวนการก้าวข้ามความขัดแย้ง อาจสะดุด เพราะจดหมายฉบับที่ ๑๐ ตบตูดด้วย ข้อความเรียกแขกนี่สิครับ
“…ผมขอจบ Facebook ฉบับที่ ๑๐ และในฉบับที่ ๑๑ ผมจะพูดถึงเรื่องเป็นนายกฯ ต้องให้เกียรติสภาอย่างไร โปรดติดตามครับ…”
ขยี้ “ลุงตู่” บ่อย เดี๋ยวจะยกขาไม่ขึ้นเอานะครับ