คลิกฟังบทความ…?
เปลว สีเงิน
“สามก๊ก” นี่นะ
ยิ่งอ่าน-ยิ่งฉงน ว่าเรื่องราวเกือบสองพันปีมาแล้ว ทำไมบางช่วง-บางตอน-บางคน มันจึงเหมือนเรื่องราวของคนบางคนในปัจจุบัน
ยังกะคนเหล่านั้น “กลับชาติมาเกิด”?
อย่าง “ลิโป้” นี่ ฝีมือฉกาจ ขนาด เตียวหุย, กวนอู, เล่าปี่ ๓ รุม ๑ ยังเอาชนะลิโป้คนเดียวไม่ได้
“โจโฉ” ว่าแน่ๆ ยังถูกลิโป้ยิงธนูถูกปากจนฟันหัก ๒ ซี่ หงายตกหลังม้าลงไปนอนแอ้งแม้งมาแล้ว
แต่ทำไมเขาจึงเรียกลิโป้ว่า “ไอ้ลูก ๓ พ่อ” ล่ะ?!
ก็เพราะลิโป้ นอกจาก “แม่เดียว-แต่มากพ่อ” แล้ว ยังเป็น “จอมเนรคุณ” ไม่เว้นกระทั่งกับพ่อ ชนิดไม่เลือกดินฟ้าอากาศนั่นเอง
พ่อ ๓ คนของเขา คนแรกคือพ่อจริงๆ ส่วนอีก ๒ คน เป็นพ่อบุญธรรม คือ “เต๊งหงวน” กับ “ตั๋งโต๊ะ”
เพราะเห็นแก่ “ลาภยศ” และ “สินบน”
ลิโป้จึงฆ่าพ่อบุญธรรมทั้ง ๒ คน แลกลาภยศ ถ้าพ่อแท้ๆ ไม่ตายไปก่อน ก็ไม่แน่นะ… ใครเอาเงินหรือตำแหน่งมาล่อ
ลิโป้อาจ “ตัดหัวพ่อแท้ๆ” ไปแลกก็ได้!
“เต๊งหงวน” พ่อบุญธรรมคนแรก เลี้ยงดูลิโป้มาตั้งแต่เป็นเสมียนต๊อกต๋อย แต่ลิโป้เป็นคนมีฝีมือ
ตั๋งโต๊ะอยากได้กองทัพของเต๊งหงวน ก็เอาม้าเซ็กเธาว์กับเสื้อเกราะทองไปติดสินบนลิโป้ ให้ฆ่าเต๊งหงวน
ลิโป้ตัดหัว “พ่อบุญธรรม” ฉับเลย!
พอไปอยู่กับตั๋งโต๊ะ ก็คุกเข่าโขกศีรษะขอเป็นลูกบุญธรรมตั๋งโต๊ะอีก ต่อมา เกิดหลงรักเมียพ่อ คือ “เตียวเสี้ยน”
ลิโป้จึง “ตัดหัวพ่อ” ชิงเมียซะเลย!
วีรเวรนี้ ลิโป้ถึงถูกประณามเป็น “จอมเนรคุณ” ทรยศหักหลัง เพื่ออำนาจ ตำแหน่ง เงิน ตัณหา ราคะ
ฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อ!
ยังมีอีกเหตุการณ์ สนุกไม่แพ้กัน “อุ๋ยเอี๋ยน” คนที่จะเปิดประตูเมืองเกงจิ๋วให้เล่าปี่ แต่ถูกขัดขวาง อุ๋ยเอี๋ยนต้องหนีไปขอพึ่งใบบุญ “ฮันเหียน” เจ้าเมืองเตียงสา
อาศัยบ้านเขาอยู่แท้ๆ แต่พอทราบข่าว “กวนอู” ยกทัพมาตีเมืองเตียงสาเท่านั้นแหละ เพื่อตัวรอด หวังความดี-ความชอบ
“อุ๋ยเอี๋ยน” บุกเข้าไปตัดหัว “ฮันเหียน” ไปมอบให้กวนอูทันที
กวนอูจึงพาอุ๋ยเอี๋ยนเข้าไปพบเล่าปี่เพื่อรับความดี-ความชอบ ซึ่งตอนนั้น “ขงเบ้ง” นั่งฟังอยู่ด้วย
ขออนุญาต https://isamkok.blogspot.com นำบทสนทนาในเว็บมาใช้ ดังนี้
ขงเบ้ง : “ทหาร…..นำตัวอุ๋ยเอี๋ยนไปตัดหัว”
เล่าปี่ : “อุ๋ยเอี๋ยนได้สังหารฮันเหียนมีความชอบช่วยเหลือเรา ท่านสั่งให้ทหารนำอุ๋ยเอี๋ยนไปตัดหัวด้วยความผิดประการใด?”
ขงเบ้ง : “อุ๋ยเอี๋ยนนั้นกินข้าวแดงแกงร้อนเค้า แถมยังฆ่าเค้าอีก เป็นคนเนรคุณคน อาศัยแผ่นดินเค้าอยู่แล้วกลับแย่งชิงไปให้คนอื่น ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู เลี้ยงไว้ไม่ได้ นานไปอุ๋ยเอี๋ยนจะทรยศเรา”
เล่าปี่ : “ที่ท่านว่านั้นมันก็จริง หากฆ่าอุ๋ยเอี๋ยน ในภายภาคหน้าใครล่ะจะอยากเข้าด้วยกับเรา ท่านโปรดไว้ชีวิตอุ๋ยเอี๋ยนสักครั้ง”
ขงเบ้งทำหน้าหนักใจแต่ก็มิได้พูดประการใดและคิดว่าตนนั้นจะสามารถเอาอุ๋ยเอี๋ยนอยู่ จึงบอกต่อไปว่า
ขงเบ้ง : “ต่อไปนี้ หากเจ้าทรยศนายเรา เราจะตัดหัวเจ้าทิ้งเสีย”
อุ๋ยเอี๋ยนได้ฟังขงเบ้งพูดเช่นนั้นก็ดีใจและรับปาก
…………………………………
เห็นมั้ย?
เสน่ห์ไม่รู้จบของสามก๊กก็อยู่ตรงนี้ หนึ่งอย่างในพันๆ อย่างคือ การสอนให้คิดอย่างที่พระเจ้าตาสอนสุดสาครว่า
“อย่าไว้ใจมนุษย์………
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคนฯ”
ทั้งหมดนั่น เป็นเรื่องแต่บรรพกาล แต่ยุคนี้ ไม่มี “คน ๓ พ่อ” เหมือนสองพันปีก่อนโน้นนนแล้ว
มีแต่ “คน ๓ นิ้ว” บ้าง “คน ๓ ส.” บ้าง กระจุ๋ม-กระจิ๋ม พอเป็นน้ำจิ้มทางการบ้าน-การเมือง
อย่าง”คน ๓ ส. “สุริยะ-สมศักดิ์-สุชาติ” สองคนแรกเป็นรัฐมนตรี คนหลังเป็นรองประธานสภา ทั้ง ๓ อยู่ “พลังประชารัฐ”
พอจะเลือกตั้งใหม่ ๑๔ พฤษภา.นี้
ทั้ง ๓ ก็ย้ายออกจากพลังประชารัฐไปอยู่พรรคครอบครัวเพื่อไทย!
แต่ทั้ง ๓ ย้ายตามสภาพดินฟ้าอากาศอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครตัดหัว “ลุงป้อม-ลุงตู่” ใส่พานไปถวายทักษิณผ่านอุ๊งอิ๊ง เหมือนอย่าง “ลิโป-อุ๋ยเอี๋ยน” ทำ
ทั้ง ๓ ส.เมื่อพ้นชายคาพลังประชารัฐ ก็ไปนั่งโต๊ะสับสรรเสริญรัฐบาลและพลังประชารัฐที่ตัวเองร่วมอยู่ด้วย
ส.แรก “ส.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” มีวาทะว่า…….
สาเหตุที่ตัดสินใจเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
เนื่องจาก โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย ได้พังทลายไปอย่างยับเยิน
โดยเฉพาะ ๔ ปีแรก ที่เกิดการทำรัฐประหาร ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของนักลงทุนต่างประเทศ
ประเทศไทย สูญเสียโอกาสไปอย่างมากมาย
ช่วง ๔ ปีหลัง พรรคพลังประชารัฐได้รับส.ส.มาจำนวนไม่มากพอ จึงจำเป็นต้องกระจายกระทรวงเศรษฐกิจไปให้พรรคการเมืองต่างๆ
ทำให้ขาดพลังในการแก้ไขนโยบายต่างๆต้องคอยประนีประนอมพรรคการเมืองต่างๆที่ต้องการงบประมาณ เพื่อชูนโยบายพรรคตนเอง
ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้
ยืนยันจาก GDP ประเทศที่ต่ำเกือบที่สุดในกลุ่มอาเซียน
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องมีพรรคแกนนำรัฐบาล มีจำนวน ส.ส ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแบบถล่มทลายหรือแลนด์สไลด์
ทั้งหมด ทำให้ผมและนายสมศักดิ์ ตัดสินใจเข้าพรรคเพื่อไทย เพื่อมีส่วนทำแลนด์สไลด์ในครั้งนี้
ให้พรรคเพื่อไทยได้นำนโยบาย “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”
ทีนี้ มาฟัง ส.ที่สอง “ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน” บ้าง
วันนี้รู้สึกมีความสุข มีความหวัง ดีใจและภูมิใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่คิดมาโดยตลอด จะสามารถบรรลุเป้าหมายเพื่อวางแนวทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ ซึ่งเราต้องปรับตัว
ที่ผ่านมาประเทศชาติเสียหาย ประชาชนเสียเวลาไปอย่างมาก
ขอบคุณพรรคเพื่อไทย ที่เปิดรับผมเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคอีกครั้ง หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมช่วยงานให้สมบูรณ์แบบ เป็นที่พึ่ง ที่หวังของพี่น้องประชาชนได้ครบ ๑๐๐% สู่เป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์
ผมเข้ามาเสริมเติมเต็มในบางส่วนให้ครบ จะเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผมพึงพอใจในการทำงานของพรรคเพื่อไทย ทีมของเพื่อไทยเป็นทีมที่เข้าใจง่ายเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ใช่เป็นบุคคลที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ที่จะพูดคุยหรือทำความเข้าใจกับชาวบ้าน
ทีมนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ เพราะหากทีมงานไม่สามารถทำความเข้าใจในนโยบายอย่างเด่นชัดได้ ส่วนราชการเสนอ บันทึกมา แล้วทำตามเดิม จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาใหม่ๆได้
ในอดีต พรรคไทยรักไทย นโยบายของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร บรรลุเป้าหมายอย่างแจ่มชัด และนำไปสู่การปฏิบัติ
วันนี้ไม่แลนด์สไลด์ ก็เกือบแลนด์สไลด์แล้ว 99.99% เพราะประชาชนเข้าใจ ยอมรับในทีมของพรรคเพื่อไทย
เอ้า…มาฟัง “ส.สุชาติ ตันเจริญ” เป็นรายสุดท้าย
“วันนี้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เหมือนได้กลับมาบ้านเก่า เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถูกเว้นวรรคไป ๒ สมัย จึงต้องไปดิ้นรนกว่าจะหาทางกลับบ้านถูก
ซึ่งจริงๆ ก็เดินกลับบ้านไม่ค่อยถูก ได้ลูกบังเกิดเกล้า (นายคชาภา) บังคับมา
ซึ่งตอนแรกจะให้ นายคชาภา ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่ ฉะเชิงเทรา แทน
แต่นายคชาภายังอยากทำงานในวงการบันเทิงอยู่ จึงเป็น นายศักดิ์ชาย ลงแทน เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการคนรุ่นใหม่มาทำการเมือง
ที่กลับมาพรรคเพื่อไทยด้วยเหตุผลถูกลูกบังคับ ถูกท่านสมพงษ์จี้ตัวนั่งรถมาด้วยกัน
และเวลาไปปราศรัยในภาคตะวันออก ชาวบ้านก็บอกอยู่พรรคไหนก็ได้ แต่อย่าอยู่พรรคเดิม
เพราะนโยบายที่หาเสียงทำไม่ได้ อย่าโกหกอีกเลย เขาไม่เลือก ถ้าให้ดี ไปพรรคเพื่อไทย
การกลับมาทำการเมืองร่วมกับเพื่อไทย เป็นพรรคที่เป็นไปได้ เป็นตัวตั้ง-ตัวตี ที่ใช้นโยบายนำ ทำได้จริง ประชาชนชื่นชอบ
เชื่อว่าครั้งนี้ ที่ประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์ ไม่ใช่แค่การหาเสียง แต่ทำได้จริง เพราะประชาชนเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง
เบื่อเพลง “เราจะทำตามสัญญา” ที่ฟังมา ๘ ปีแล้ว
นักข่าวถาม “สถานการณ์การเมืองวันข้างหน้า มีความจำเป็นให้ต้องย้ายพรรคอีกหรือไม่?”
นายสุชาติ ตอบว่า “ถ้าไม่ปฏิวัติก็ไม่ย้ายหรอก”
————————–
ครับ….เสียดาย
ขงเบ้งไม่ได้กลับชาติมาเกิดยุคนี้ เลยอดรู้ ว่าขงเบ้งจะปูนบำเหน็จ “คน ๓ ส.” แบบไหน?
เปลว สีเงิน
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖