สันต์ สะตอแมน
ไม่สะบั้น ก็ไม่สะบั้น!
ผมหมายถึง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ที่ได้ยืนยันเสียงแข็งถึงความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ชินวัตร ว่า..
“ผมไม่เคยที่จะลบหลู่พี่ษิณแม้แต่นิดเดียว ผมยังเคารพรักพี่เขาเหมือนเดิม อย่างคำพูดนักเรียนนายร้อยตำรวจเรา
ยศถาบรรดาศักดิ์มันตามกันทัน แต่รุ่นพี่รุ่นน้องมันตามกันไม่ทัน รุ่นน้องคือรุ่นน้องรุ่นพี่คือรุ่นพี่
คนที่ไม่รู้จริงแล้วคุณไปเขียนข่าว คุณเป็นนักข่าวเป็นสื่อมวลชนเป็นกระจกเงาสะท้อนความจริง
เมื่อคุณไม่สะท้อนความจริงแต่สะท้อนมโนความคิดของคุณ ผมว่าแบบนี้ใช้ไม่ได้นักข่าว ผมจึงให้รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่ว่า สะบั้นกับทักษิณ หากเข้าข่ายผมฟ้องแน่นอน”
อะไรจะโมโห-กริ้วถึงขนาดนั้น แค่สื่อรายงาน “สะบั้นกับทักษิณ” หากไม่จริง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ทำความเข้าใจ ชี้แจง-อธิบาย-ตำหนิได้ และสื่อก็คงพร้อมที่จะแก้ไข-นำเสนอให้อยู่แล้ว
ไม่เห็นจะต้อง (ขู่) ฟ้องให้บาดหมางใจต่อกัน หรือว่าพร้อมจะ “สะบั้นกับสื่อ” ถ้างั้นก็เอาตามที่สบายใจเถิด!
เอ้า..แต่นั่นดูจะไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร ไม่งั้นคุณโขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ผลงานกำกับหนังล่าสุดเรื่อง “ขุนพันธ์3” กำลังเข้าฉายอยู่ในโรง คงไม่โพสต์..
“รู้สึกเป็นเกียรติมั้ยครับ รู้สึกชนะหรือเปล่า ภูมิใจอะไรมั้ย เล่าให้ญาติหรือคนที่รักฟังแล้วรู้สึกดีจริงมั้ย เกมส์นี้มันห่วยและเสร่อมาก
ในฐานะคนทำหนังไทย ผมเสียใจและอายแทนพวกคุณจริงๆ เราเดินลงจากเวทีคนละความรู้สึกแน่ๆ ขอยกวงการนี้ให้พวกคุณไปเลยครับ
เดินหน้าก็ยากจะทำให้ถอยหลังทำไม อย่าอ้างเกมธุรกิจ #RIP หนังไทย”
และเหตุที่ทำให้ต้องโพสต์ข้อความนี้ ก็น่าจะสืบเนื่องจากการที่หนังขุนพันธ์ 3 ถูกลดรอบ-ลดโรงจากโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ทั้งๆ ที่รายได้หนังก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่..
เปิดฉายวันแรก รายได้จากบ๊อกออฟฟิศ กวาดเงินถึง 3 ล้านบาทเชียวนะ!
แล้วทำไมต้องลดรอบล่ะ? มีคนวิเคราะห์ให้ฟังว่า..ขุนพันธ์เป็นหนังของบริษัทสหมงคลฟิล์มฯ หุ้นส่วนโรงหนังเครือเอสเอฟฯ
ซึ่งมาเข้าฉายในขณะที่หนังเรื่อง “ทิดน้อย” ของค่ายเอ็มเทอร์ตี้ไนน์ บริษัทในเครือของโรงหนังเมเจอร์ยังอยู่ในโปรแกรม และแม้จะเข้าฉายมาตั้งแต่ปลายเดือนมกรา
แต่คงคิดว่าหนังยังมีกระแส ยังมีคนดูอยู่ ทางเมเจอร์ก็เลยยังไม่ยอมปล่อยโรง-ปล่อยรอบให้กับขุนพันธ์แบบเต็มที่ ซ้ำยังได้ทำโปรโมชั่นลดราคาตั๋วหนังเหลือแค่ 30 บาท
จะว่าเป็นการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจก็ได้ แต่การใช้วิธีนี้ย่อมไม่เป็นผลดีกับหนังไทยแน่นอน ก็อย่างที่คุณบัณฑิต ทองดี ได้โพสต์นั่นแหละว่า..
“ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ โรงหนังตีกัน ขุนพันธ์เจ็บสะท้าน ขอความเห็นใจ สองมือกราบกราน”
ครับ..โบราณกาล เอ๊ยแต่ไหน-แต่ไรมา ในวงการหนังไทยมีขนบประเพณีอยู่อย่างที่ซึ่งได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา นั่นคือ เจ้าของโรงภาพยนตร์จะไม่สร้างหนังเด็ดขาด
ทั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหา หรือตัดปัญหาในเรื่องของการวางโปรแกรมฉายที่อาจจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้สร้างที่ไม่มีโรงเป็นของตัวเอง
แต่..ปัจจุบัน ถ้าโรงไม่สร้างหนังเอง ก็จะมีปัญหาอีกว่า ทางโรงจะขาดแคลนหนังที่จะฉาย ด้วยนายทุน-ผู้สร้างเริ่มจะหัวหด ไม่กล้าทำหนังกันแล้ว
สรุป..เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรไม่รู้ รู้เพียง ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ผู้กำกับ-ผู้สร้างก็จะยังคงเป็นเบี้ยล่างให้กับโรงหนังอยู่ต่อไป..
หรือใครจะเถียง..หือ?