ภูมิใจไทย-พูดแล้วทำ กับการปักธง กรุงเทพมหานคร

พรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองที่ถูกจับตาอย่างมากสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จนถูกคาดหมายว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่ได้ส.ส.มาอันดับสองหลังการเลือกตั้งรองจากพรรคเพื่อไทย และมีโอกาสไม่น้อยที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะได้ลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
โดยหนึ่งในพื้นที่เลือกตั้งที่พรรคภูมิใจไทย คาดหวังไว้พอสมควรก็คือ “กรุงเทพมหานคร” เพราะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น พรรคภูมิใจไทย มีการเตรียมความพร้อมมากกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องนโยบายกรุงเทพมหานคร-ตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระบบเขต ที่มีทั้งอดีตส.ส.กทม.และผู้สมัครหน้าใหม่หลายคนที่น่าสนใจ

รวมถึงที่สำคัญ พรรคภูมิใจไทยได้ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม-อดีตส.ส.กรุงเทพมหานคร-อดีตรองผู้ว่าฯกทม.-อดีตแกนนำพรรคพลังประชารัฐที่เคยรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งเมื่อปี 2562” มาเป็นหัวหน้าทีมดูแลพื้นที่เลือกตั้งกรุงเทพมหานครให้กับพรรคภูมิใจไทย

สำหรับการขับเคลื่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในพื้นที่กทม.ของพรรคภูมิใจไทย จะเป็นอย่างไรบ้าง และพรรคคาดหวังว่าจะได้ส.ส.เขต กทม.กี่ที่นั่งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์-หัวหน้าทีมเลือกตั้งกทม.พรรคภูมิใจไทย” กล่าวให้สัมภาษณ์กับ “ไทยโพสต์” ในครั้งนี้

เริ่มต้นที่ “พุทธิพงษ์” กล่าวถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะแตกต่างจากการเลือกตั้งในหลายครั้งที่ผ่านมา ที่ไม่ใช่แค่กับประชาชน แต่สำหรับในส่วนของนักการเมืองเอง ก็แตกต่างกันไปมาก จะเห็นได้ว่าการเข้าถึงประชาชน การนำเสนอนโยบาย และที่สำคัญ ความต้องการของประชาชนก็เปลี่ยนไป รวมถึงช่องทางการสื่อสารต่างๆ ที่มีหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่มคนที่นำเสนอแนวคิดงานการเมืองในการสื่อสารด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่นการทำคลิปสั้นๆ ไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์ม TikTok เป็นต้น อีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเรายังคงทำก็คือ”การลงพื้นที่” “การเปิดเวทีปราศรัย” การเดินไปหาประชาชนให้มากที่สุด

“หัวหน้าทีมเลือกตั้งกทม.พรรคภูมิใจไทย” กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ มีถึง 50 สำนักงานเขต เราต้องบริหารจัดการเครือข่าย อย่างพรรคภูมิใจไทย ก็เป็นงานที่ไม่ได้ง่ายเพราะภูมิใจไทย ยังไม่ค่อยมีโอกาสหรือเคยมีส.ส.เขตในกรุงเทพมหานคร แต่พรรคภูมิใจไทยเคยส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.เขต ในกรุงเทพมหานครในการเลือกตั้งมาแล้วสองครั้ง(การเลือกตั้งเมื่อปี 2554 และปี 2562 ) แต่อาจไม่ได้เน้นหรือไม่ได้มีนโยบายอะไรที่โดนใจกับคนกรุงเทพฯมาก จึงเป็นโจทย์อย่างหนึ่งที่พวกเรา พรรคภูมิใจไทย ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งตอนนี้ พรรคภูมิใจไทย พร้อมแล้วสำหรับการเตรียมการเลือกตั้ง

วันนี้ยังไม่ได้มีการยุบสภาฯ ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ฯ ที่ออกมาชัดเจน ทำให้ทุกพรรคการเมืองก็ทำในเรื่องของการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ซึ่งหากถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ภูมิใจไทยพร้อมหรือไม่ เรื่องดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า พรรคภูมิใจไทยได้เตรียมงาน(การเลือกตั้ง)มาได้สักระยะแล้ว มีการลงพื้นที่ต่างๆ

“การเลือกตั้งครั้งนี้ถือได้ว่า พร้อมที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทย ในการที่พรรคเสนอตัวขอเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร”

…สำหรับตัวผมเอง มีความคุ้นเคยกับการทำงานให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานครมาตลอด ผมทำงานการเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาถึงปัจจุบันก็ร่วมยี่สิบกว่าปี เคยเป็นส.ส.กรุงเทพมหานคร เป็นรองผู้ว่าฯกทม. รวมถึงรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งกรุงเทพมหานครมาตลอด หากถามว่างานหนักหรือไม่ ต้องตอบว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง งานหนักทุกครั้ง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ถามว่างานหนักหรือไม่ ก็หนัก แต่ในอีกมิติหนึ่งของผม ตัวผมมีความรู้สึกว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตัวผมได้ทำอะไรหลายอย่างได้ตรงกับใจ และตรงกับความรู้สึกผมมากที่สุด

ความรู้สึกของผมที่อยากทำ การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ทำมากกว่าทุกครั้ง เพราะมันมีปัญหาและมีเหตุผลหลายเหตุผล เพราะในขณะที่เราเป็นคนกรุงเทพมหานคร เราอยู่กับคนกรุงเทพฯมา พบว่าคนกรุงเทพฯไม่ได้ชอบอะไรที่ยากๆ ไม่ได้ชอบนโยบายอะไรที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ หรือเป็นนโยบายอะไรที่ใหญ่โต

แต่เขาอยากได้ หนึ่ง นโยบายที่ตรงใจ สอง ลงมือทำ อยากให้พูดอะไรแล้วทำให้ได้อย่างที่พูด เราก็พูดสะท้อนจากที่เราเป็นคนกรุงเทพฯด้วย เลยมีความรู้สึกว่า ในครั้งนี้ เมื่อมาดูนโยบายการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย เราได้รับโอกาสจากผู้บริหารพรรค เนื่องจากว่ายังไม่เคยมีนโยบายของภูมิใจไทยในพื้นที่กทม.โดยเฉพาะ พรรคก็ให้ผมทำเลย จึงเป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

ต่อมาผมได้ชวนน้องๆ คนรุ่นใหม่ที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ คนที่อยู่ในวัยทำงาน บางคนก็เพิ่งเรียนจบการศึกษามาจากต่างประเทศและในประเทศ มาร่วมกันทำ เวิร์คช็อปที่มีการทำกันหลายครั้งมาก บางทีก็มีหมอ -พยาบาล-วิศวกร เพื่อต้องการมองหาความคิดของประชาชนว่าเขามองปัญหาของกรุงเทพฯอย่างไรและสิ่งที่ต้องการให้แก้ไขมีอะไรบ้าง เราทำเวิร์คช็อปดังกล่าว จนเราสรุปมาได้ว่าสิ่งที่คนกรุงเทพมหานคร-คนรุ่นใหม่ เขาสะท้อนว่าปัญหาในกรุงเทพมหานครที่ควรได้รับการแก้ไข และอยากให้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร

จากนั้นได้นำไปคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ตลอดจน ทีมนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่ก็แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่เห็นตรงกันและมีบางส่วนมีการปรับแก้ เพื่อให้เจาะลึกลงไปในปัญหาของคนกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่ตรงใจกับผมมาก

ที่ผ่านมาในอดีตเวลาเราอยู่พรรคอื่น เขาจะมีนโยบายหลักของพรรค เราก็ไปเสนอเพิ่มเติมได้อีกเล็กน้อย และเป็นเหมือนทหารราบ เวลาไปเจอประชาชนก็นำไปเสนอ แต่กับครั้งนี้ เราได้มีโอกาสนำคนรุ่นใหม่ที่เป็นมันสมองของประเทศ มาร่วมกันคิดนโยบายดีๆ ซึ่งในฐานะที่ผมก็เป็นคนกรุงเทพมหานคร ผมเชื่อว่าคนกรุงเทพฯอยากได้นโยบายแบบที่พรรคภูมิใจไทยนำเสนอ อย่างที่บอกว่ามันตรงใจผม เพราะพอออกมาแบบนี้ มันรู้สึกเป็นพลัง และมีความลงตัว
นโยบายระบบขนส่งมวลชนให้คนกทม.บริหารจัดการค่าใช้จ่ายการเดินทางได้

“พุทธิพงษ์ -หัวหน้าทีมเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย” กล่าวถึงนโยบายการแก้ปัญหาและพัฒนากรุงเทพมหานครของพรรคภูมิใจไทยว่า จากข้อมูลที่ได้สำรวจ-สอบถามความคิดเห็นประชาชนว่าอยากให้แก้ปัญหาหรืออยากได้อะไร พบว่าเรื่องแรกคือเรื่อง “ระบบขนส่งมวลชน”

โดยเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพมหานครพูดเหมือนกันหมด คือรถติดในกรุงเทพฯ ที่ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ซึ่งเราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนเก่งที่เข้าไปแล้ว รถจะหายติดภายในเวลาไม่กี่วันเพราะเป็นไปไม่ได้ แต่เรามานั่งคิดกันว่า หากคุณเป็นคนกรุงเทพฯ ต้องทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งในหนึ่งวัน บางคนต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ หลายจุด ที่หากเราบริหารจัดการชีวิตของเราไม่ได้ ที่หมายถึงเรื่องของการใช้จ่าย ที่แน่นอนว่าวันนี้ทุกคนได้รับผลกระทบจากช่วงโควิด การช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับคนไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญมากทั้งคนกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด ที่ทำงานและใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร เราจึงมาคิดกันว่าจะบริหารจัดการเรื่องระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ อย่างเรื่อง”รถไฟฟ้า”อย่างไร หรือการให้มีรถเมล์ที่สะอาด

…อย่างสมมติในหนึ่งวัน ผมขึ้นรถไฟฟ้าวันละสามรอบในระบบรางเดียวกัน ผมต้องจ่ายค่าแรกเข้าสามครั้ง ต้องจ่ายทุกครั้ง ลองคิดในทางกลับกัน ทำไมไม่มีตั๋ววัน เช่นวันนี้ผมนั่งมาแล้วสามรอบ และกำลังจะขึ้นรถไฟฟ้าอีกครั้งเป็นรอบที่สี่ แทนที่จะต้องจ่ายค่าเข้ารถไฟฟ้าสี่รอบ ผมซื้อตั๋ววันเลยดีกว่า หนึ่งวันไม่เกินสี่สิบบาท โดยผมจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่รอบก็ได้ เพราะไม่มีใครมาขึ้นรถไฟฟ้าเล่นกัน แต่คนขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีแห่งหนึ่งไปยังที่หมายเพื่อไปประชุมหรือทำงาน พอเสร็จงานก็ขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปทำงานอีกจุดหนึ่ง ทำให้ในหนึ่งวันเราจ่ายค่ารถไฟฟ้าmaximum ไม่เกินสี่สิบบาท ส่วนตั๋ววันที่มีอยู่แล้ว ต้องไปคำนวณว่าตั๋ววันที่มีอยู่จริง มันใช้เป็นตั๋ววันได้จริงหรือไม่ และหากมีตั๋ววันแบบนี้แล้วต่อไปก็อาจให้มีตั๋วเดือนอีก ที่จะทำให้ในแต่ละเดือนเราจะสามารถบริหารจัดการได้ว่าในหนึ่งเดือนเราจะมีค่าเดินทางเท่าใด แต่วันนี้คนกรุงเทพฯ ไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องนี้ได้เลย

เรื่องที่สอง ตั้งแต่เราเห็นรถไฟฟ้าที่มีมาจนถึงปัจจุบัน เราคงเคยได้ยินที่พูดกันว่านี้คือทางเลือกของคนกรุงเทพมหานคร ที่ไม่ใช่ เพราะในหลายประเทศ รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน ระบบการเดินทางดังกล่าวคือระบบขนส่งมวลชนที่ประชาชนต้องใช้ แต่เราจะพูดติดปากว่าเป็นทางเลือกของคนกรุงเทพฯ คำว่าทางเลือก หมายถึงหากไม่ได้ขับรถส่วนตัว หรือไม่ได้ซ้อนมอเตอร์ไซด์ในการเดินทางเพราะรีบ ก็จะนั่งรถไฟฟ้า อยากไปเร็ว รถไม่ติดแต่ต้องจ่ายแพงกว่า คนก็เลยไม่ขึ้นรถไฟฟ้ามากนักถ้าไม่จำเป็น ก็ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางเพราะมีรถใช้อยู่แล้ว สะดวกกว่า แล้วมองว่ารถไฟฟ้าคือทางเลือก แต่เราจะต้องบอกว่า รถไฟฟ้าเป็นทางเลือกของคนกรุงเทพฯไม่ได้ แต่รถไฟฟ้าต้องเป็นขนส่งมวลชนที่คนกรุงเทพมหานครทุกคนสามารถโดยสารเดินทางได้

เช่นเดียวกับรถเมล์เหมือนกัน เราพูดกันมากี่ปีแล้วว่าเราอยากได้รถเมล์ใหม่ๆ อย่างน้อย 15-16 ปีที่ผ่านมา หากเราพูดแบบให้ความเป็นธรรม รถเมล์ขสมก.บางลักษณะ คนกทม.ก็ไม่อยากขึ้น เพราะเขามองว่าไม่น่านั่งโดยสาร ไม่สะดวก คนกทม.อยากได้รถเมล์ใหม่ๆ แต่ไม่เคยมี แต่ว่าเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา มีรถเมล์สีน้ำเงินออกมาวิ่งรับคนกรุงเทพฯ เป็นรถติดแอร์ สะอาด เป็นรถระบบไฟฟ้าติดแอร์ สะอาด มีความสะดวก ไม่ได้ใช้น้ำมัน ไม่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5
เราต่อสู้เรื่องนี้เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้ใช้รถเมล์ดีๆ จนได้มา ซึ่งรัฐมนตรีที่ผลักดันและนำรถเมล์ไฟฟ้ามาวิ่งได้ 1,200 คันในกรุงเทพฯ และปีหน้าจะเพิ่มมาอีกเป็น 4,500 คัน ก็ทำให้คนที่ไม่เคยขึ้นรถเมล์ ต่อไปเขาก็อาจหันมาขึ้นกัน รมว.คมนาคมก็คือ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย

…. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โดนใจคนกรุงเทพมหานครจริงๆ ซึ่งเวลาเราไปคุยไปบอกกับประชาชน เป็นเรื่องที่เขาสัมผัสได้ คนกรุงเทพฯ เขาก็เบื่อ เพราะถ้าพูดภาษาพวกเราก็คือโดนมาเยอะแล้ว นโยบายพูดกันไป ถึงเวลาไม่ทำสักที ครั้งนี้ หากให้พูดว่าภูมิใจไทยจะทำอะไรบ้าง ลองไปขึ้นเลย รถเมล์เถียงกันมา 15-16 ปี วันนี้ทำให้แล้ว ทำให้เวลาเราไปอธิบายไปพูดกับประชาชน ผมเชื่อว่าคนกรุงเทพมหานครมีเหตุผล และอยู่กับความเป็นจริง เพราะเขาก็จะรู้ได้ อย่างเรื่องการให้มีรถเมล์ที่ดี เป็นเรื่องที่สู้กันมาตั้งนาน แต่วันนี้มีออกมาวิ่งให้เห็นแล้ว นโยบายพรรคเรื่องตั๋ววันรถไฟฟ้าหรือการมีรถเมล์ไฟฟ้าแบบนี้ ทำให้คนกรุงเทพฯ สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

นอกจากนี้ ก็ยังมีนโยบายที่ได้รับการตอบรับดีมาก คือเรื่องการรักษามะเร็งกับฟอกไตฟรี ซึ่งนโยบายดังกล่าวมาจากการพูดคุยที่ผมจะพูดเสมอว่า ครอบครัวคนไทย ครอบครัวใดที่ไม่มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไตหรือโรคมะเร็งถือว่าโชคดีมาก เพราะอันดับหนึ่งโรคที่คนไทยป่วยและเสียชีวิต คือมะเร็ง ที่ไม่มีใครอยากเป็น ซึ่งคนป่วยหนึ่งคน มันทำให้ทุกข์กันทั้งครอบครัว แล้วก็ยังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษา บางคนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน นี้คือสังคมแบบไทย เราไม่เคยทิ้งกัน คนที่ไม่เคยเจอจะไม่เข้าใจ แต่คนที่เขาประสบและเคยเจอ เขาจะเข้าใจ โดยเฉพาะยิ่งหากเป็นคนที่มีรายได้ไม่มาก การรักษามะเร็ง-การฟอกไต ค่าใช้จ่ายเยอะมาก

อย่างบางคนฟอกไตครั้งละหนึ่งพันห้าร้อยบาท และหากบางคนต้องฟอกไตทุกสามวัน เท่ากับหนึ่งเดือนมีค่าฟอกไตประมาณสองหมื่นกว่าบาท บางคนไม่มีเงินแต่ต้องการให้ชีวิตรอด ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน พรรคภูมิใจไทยเห็นถึงปัญหานี้ จึงต้องการให้ลดภาระ ดูแลคนที่เดือดร้อน หรือบางคนเป็นมะเร็ง แล้วไปกู้หนี้ยืมสินมารักษา แต่ยังไม่หายและบางที่คนที่ป่วย ต่อมาไม่อยู่แล้ว แต่ภาระหนี้สินก็ไปตกที่ลูกหลาน เราบอกว่าเป็นแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับสังคมแบบนี้ สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่เราได้จากการทำเวิร์คช็อป ที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยเริ่มเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากขึ้น

การันตีรายชื่อผู้สมัคร33 เขต คนมีประสบการณ์-คนรุ่นใหม่ คุณสมบัติ-ความตั้งใจ ครบเครื่อง

“พุทธิพงษ์-หัวหน้าทีมเลือกตั้งกทม.พรรคภูมิใจไทย” กล่าวถึงรายชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กรุงเทพมหานครทั้ง 33 เขตเลือกตั้งว่า หากให้ประกาศวันนี้ก็ครบ แต่ในมุมหนึ่ง เนื่องจากภูมิใจไทยไม่เคยมีส.ส.เขตกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งมาก่อน และไม่เคยมีผู้สมัครเดิมที่ทำพื้นที่ต่อเนื่อง ผมก็เลยมีโอกาสได้เลือกคนที่ดีที่สุด เลือกคนรุ่นใหม่ที่อาจจะมีโอกาส คือเราไม่ได้ไปเน้นเรื่องที่ว่าเลือกผู้สมัครบางคนที่หากพูดกันตรงๆ บางพรรคที่ขออยู่มาก่อนเขาก็อาจจะมี ลูกหัวคะแนน -เจ้าของฐานเสียงเดิม มีเครือข่ายที่หากเป็นต่างจังหวัดก็เรียกว่า”บ้านใหญ่”แต่ของเราไม่มี นี้คือโอกาสของภูมิใจไทย

ผมอยากคิดเหมือนคนกรุงเทพฯ ผมอยากเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ อยากเห็นนักการเมืองที่อยู่ในวัยที่มีความพร้อม มีความรู้ความสามารถ ที่พวกเขากำลังคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เป็นทางเลือกให้คนกรุงเทพได้อย่างไร ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้

คนที่มาลงสมัครส.ส.เขต กทม.ภูมิใจไทยครั้งนี้ จะเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ที่สนใจการเมือง มีมาจากหลายสาขาอาชีพ ขณะเดียวกัน ภูมิใจไทย ก็มีคนของพรรคที่เคยเป็นอดีตส.ส.กรุงเทพมหานคร จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่มาจากพรรคการเมืองอื่น บางคนเคยทำงานร่วมกันมาก่อน(สมัยพรรคพลังประชารัฐ) ก็เหมือนกับเขามารักษาแชมป์ รวมทั้งหมด 8 คน

โดยทั้งแปดคนต้องมารักษาพื้นที่เดิมของตัวเองไว้เพื่อรักษาแชมป์ ส่วนอีกยี่สิบกว่าเขตเลือกตั้ง ผมก็เติมมาด้วยคนรุ่นใหม่ๆ ครั้งนี้จะได้เห็น

เพราะจากที่เราเคยได้พูดกันมาตลอดว่า อยากได้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองใหม่ๆ ที่เขาอาจไม่ได้มีญาติเป็นนักการเมือง อย่างบางคนเคยทำงานด้านสายกฎหมายมา เพิ่งมาได้ไม่เกินสามปี บางคนเรียนจบในเมืองไทยแล้วได้ทุนจนไปเรียนจบปริญญาโท-ปริญญาเอกต่างประเทศ ที่ตรงนี้ผมเชื่อว่าตรงใจกับหลายคน ที่เคยพูดมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะมีการเมืองแบบใหม่ๆ มีทางเลือกใหม่

ตอนนี้รายชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ของภูมิใจไทยครบหมดแล้ว 33 เขต เพียงแต่รอวันที่จะประกาศรายชื่อ เพราะปัจจุบันถึงตอนนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็ยังไม่ได้ประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการออกมา หลังกรุงเทพฯ มีเขตเลือกตั้งเพิ่มจากตอนปี 2562 ที่มี 30 เขต ก็เพิ่มมาเป็น 33 เขตเลือกตั้ง

-ถ้าเปิดชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม. ทั้งหมดออกมา คนกรุงเทพฯจะร้องว้าวหรือไม่?

เอาเป็นว่าไม่เคยเห็นพรรคการเมืองไหนทำมาก่อน ทำได้แบบพรรคภูมิใจไทย เพราะอย่างที่บอกกับการที่พรรคเปิดโอกาสเปิดพื้นที่ให้ทั้งคนรุ่นใหม่ คนหน้าใหม่ทางการเมืองที่มีประสบการณ์การทำงานจากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งพรรคก็มั่นใจ เพราะก็มีทั้งส่วนที่มาจากประสบการณ์ที่ผมทำงานมาและจากที่ได้มาร่วมเตรียมงานกับพรรคภูมิใจไทย เครือข่ายในแต่ละเขต ผมเตรียมไว้พร้อม คนรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามา ก็เอาความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความตั้งใจของเขา ก็นำมาส่งลงสมัคร โดยทางพรรคก็จะมีทีมงานต่างๆ ในการพาเขาลงพื้นที่ ก็มีพี่เลี้ยงเตรียมไว้ให้ มันก็สอดคล้องกันพอดี คนกรุงเทพก็จะได้เห็นว่าในพื้นที่ก็ไปได้

ส่วนผู้สมัครก็มีคุณสมบัติต่างๆ ที่คนกรุงเทพเห็นแล้วก็จะบอกว่าทำไมที่ผ่านมาไม่เคยมีแบบนี้ เคยอยากได้แบบนี้ แต่ไม่เคยมีโอกาส ที่ถามว่ารายชื่อที่จะประกาศจะร้องว้าวหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า รอดูได้เลย จะเป็นมิติใหม่ของกรุงเทพ เพราะมันมีโอกาสยากมากที่จะได้คนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นคนใหม่ๆ ทางการเมือง เป็นคนที่มีความตั้งใจดี มาเพราะใจ มาเพราะอยากทำให้ประเทศดีขึ้น

เป้าหมายสนามเลือกตั้งกทม. ภูมิใจไทย ขอปักธงกี่ที่นั่ง?

-ตั้งเป้าว่าภูมิใจไทยจะได้ส.ส.เขตกทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้กี่เก้าอี้?

บอกตรงๆ ว่า จากที่เคยอยู่กับสนามเลือกตั้งกทม.มา สนามกทม.หักปากกาเซียนมาตลอด พรรคการเมืองที่เคยมีส.ส.เขต กทม.เยอะสุด ก็ไม่ได้ส.ส.กทม.ในการเลือกตั้งเลยก็เคยมี จะเรียกว่าสูญพันธุ์ก็ได้ หรือพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีส.ส.เขต กทม.เลย แต่เลือกตั้งมา กลายเป็นพรรคที่ได้ส.ส.เขต กทม.มากสุด ก็เคยมีมาแล้ว ดังนั้นถ้าถามว่าคาดว่าจะได้ส.ส.เขต กี่คน ก็ต้องบอกว่า คาดเดาใจคนกรุงเทพไม่ได้ เพราะหากเราพูดว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้ มันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะปัจจัยที่คนกรุงเทพจะเลือกนั้น คนกรุงเทพอาจจะมีความละเอียดอ่อนในการเลือกส.ส.ของเขา คนกรุงเทพเวลาจะเลือกผู้แทนของเขา จะเลือกภายใต้ปัจจัยเยอะมาก เลือกไปเพื่ออะไร เลือกไปทำไม แล้วสถานการณ์ในวันนั้นต้องเลือกใคร

ผมพูดแบบนี้เชื่อว่าหลายคนเข้าใจผม คือไม่ใช่ว่าคนนี้ทำพื้นที่ดี คนนี้เป็นเคยเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่กลายเป็นว่าสอบตกมาเยอะแล้วเพราะพอใกล้ๆ เลือกตั้งมา จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเยอะเช่น จะเลือกคนนี้ พรรคนี้ เพื่อไปทำสิ่งนี้ หรือมองว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ต้องช่วยกันเลือกฝั่งนี้ ผมจึงไม่เคยเชื่อเลย ที่ใครจะบอกว่าตัวเองมีตัวเต็ง น่าจะได้ 5-7 คน ผมไม่เคยเชื่อเลย เพราะจากประสบการณ์ที่เห็น ขนาดเต็งหนึ่งยังสอบตกมาแล้ว แต่หากถามถึงเป้าหมาย โดยส่วนตัวผม อย่างน้อย ส.ส.เขต กทม.เดิมที่อยู่กับพรรคภูมิใจไทย อยากให้เขาชนะกลับมาทั้งหมด ที่ก็มีอยู่แปดคน เพราะถือว่าเป็นแชมป์เก่า รู้พื้นที่ดีที่สุด เคยทำพื้นที่มาแล้วสี่ปี แต่บางคนก็ทำมามากกว่านั้น ส่วนผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆ หลายคนก็ลงพื้นที่แล้ว อยากให้คนกรุงเทพได้เห็นพวกเขา แล้วผมจะประเมินหลังจากนั้นต่อไป เพราะเราจะไปประเมินตอนนี้เลยคงไม่ได้

ส่วนคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของภูมิใจไทยในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น เนื่องจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบบบัตรสองใบ ที่ต่างจากตอนปี 2562 ที่ใช้บัตรใบเดียว คะแนนไม่ทิ้งน้ำ คนที่หนึ่งได้เป็นส.ส. ส่วนคนที่สองและลำดับถัดๆไป แม้ไม่ได้เป็นส.ส.แต่คะแนนที่ได้รับ ก็ถูกนำคิดรวมเป็นคะแนนพรรคเพื่อนำไปคำนวณส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง แต่พอเลือกตั้งที่จะมีขึ้น แยกเป็นบัตรสองใบ คะแนนส.ส.เขต กับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ หน้าที่ซึ่งหนักใจเป็นหน้าที่ของพวกผม ที่จะต้องไปบอกกับประชาชนว่า นอกจากเลือกส.ส.เขตแล้วในบัตรลงคะแนนบัญชีรายชื่อขอให้เลือกพรรคภูมิใจไทยด้วย

โดยในส่วนของคะแนนเสียงระบบปาร์ตี้ลิสต์ เป็นงานยากอยู่เพราะฐานคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ส.ส.หนึ่งคน ฐานคะแนนอาจอยู่ที่ 370,000 คะแนนต่อส.ส.ปาร์ตี้่ลิสต์หนึ่งคน ที่ก็เป็นงานยาก เพราะอย่างเลือกตั้งปี 2562 พบว่า ภูมิใจไทยได้คะแนนในกทม.ประมาณสี่หมื่นคะแนน แต่ผมมั่นใจว่าเลือกตั้งรอบนี้ ยังไง พรรคได้คะแนนมากกว่าเดิมแน่นอน แต่จะมากกว่าเท่าไหร่ ก็คงต้องทำการบ้านให้หนัก

ยืนยันว่าภูมิใจไทยเราอยู่กับความเป็นจริง เราไม่เพ้อฝัน เราคิดว่าการที่เราทำงานหนักมากเท่าไหร่ เดินมากเท่าไหร่ นำเสนอมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับเราหยอดกระปุก เราก็ค่อยๆ เก็บคะแนนสะสมไปเรื่อยๆ เราก็จะเดินให้เต็มที่ ที่ตอนนี้ก็ลงพื้นที่กันทุกวัน มีการจัดเวทีปราศรัยย่อยต่างๆ ในพื้นที่กทม. ทำให้เชื่อว่าวันนี้ คนรู้จัก และได้เห็นความตั้งใจ รวมถึงได้เห็นนโยบายกรุงเทพมหานครของพรรคภูมิใจไทย ที่ต่างจากตอนเลือกตั้งปี 2562 ค่อนข้างมาก

สิ่งที่เป็นจุดแข็งและเป็นข้อแตกต่างระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคการเมืองอื่น ในความคิดของผมคือ พรรคภูมิใจไทย “พูดแล้วทำ” หลายพรรคหาเสียงว่าจะทำอะไรต่างๆ แต่สำหรับภูมิใจไทย ที่ผ่านมา เราพูดแล้วทำ ได้ทำสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์กับคนกรุงเทพและคนไทยไว้เยอะ อย่างนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งปี 2562 เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล ก็เข้าไปทำให้คนได้เห็น ให้คนสัมผัสได้ อย่างรถเมล์ไฟฟ้า ที่บอกข้างต้น และอีกหลายนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยก็ได้ทำไปแล้ว

วันนี้คนกรุงเทพเคยเจ็บมาเยอะแล้ว เวลาหาเสียงก็หาเสียงไป แต่ถึงเวลาได้เป็นรัฐบาล มีนโยบายอะไรบ้างได้ไปทำตามที่หาเสียงไว้ แต่สำหรับภูมิใจไทย มีความแตกต่างมาก เป็นพรรคที่พูดแล้วทำจริงๆ รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ในต่างจังหวัดก็พูดแล้วทำ จนได้รับการยอมรับ

-สามารถการันตีได้หรือไม่ว่านโยบายต่างๆที่หาเสียงไว้เช่น เมืองอัจฉริยะ หรือตั๋ววัน ตั๋วเดือน รถไฟฟ้า หาเสียงแล้วจะเข้าไปทำหากมีโอกาส?

ก็ต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ คือผมเปรียบพวกผม พวกผู้สมัครส.ส.ทั้งหมดว่า เปรียบเหมือนทหารราบ ที่หมายถึงการไปเดินเจอประชาชน ที่เหมือนทหาราบ คือต้องลงไปสัมผัสประชาชน ซึ่งหากเราเข้าไปแล้ว และหากเราทำไม่ได้ คนที่ต้องตอบคำถามประชาชน ต้องไปคอยแก้ตัว ก็คือพวกผม และน้องๆทีมงาน พวกส.ส.ทั้งหลาย พวกเขาคือคนที่ต้องไปพบปะประชาชน อยากบอกว่า นโยบายต่างๆ ที่ออกมา พวกเราจะมีส่วนร่วมเสมอ หากทำไม่ได้จริง คงต้องบอกว่าอย่าเพิ่งประกาศ เพราะหากพูดออกมาพวกผมจะเดือดร้อนไปด้วย เพราะเวลาได้ขึ้นมาแล้วลงพื้นที่ เขาจะถามว่าทำไมเรื่องนั้นไม่ทำ หรือเรื่องนี้ไม่เห็นทำเลย เราจะลำบาก

ผมถึงบอกว่า ทุกนโยบายที่ออกมา เราได้มีการพูดคุย ถกเถียง ตกผลึกกันแล้วว่าทำได้จริง ไม่อย่างนั้นพวกผม ทหารราบทั้งหลายที่ออกไปหาเสียงกับประชาชน ไปเดินพบปะประชาชน แล้วหากเขามาทวง พวกผมจะไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้

เรื่องนี้ อยากยกตัวอย่าง หากจำกันได้ เมื่อช่วงสามปีที่ผ่านมา ตอนช่วงโควิดเริ่มเข้ามาระบาดในไทย ที่มีบางคนที่เป็นโควิดก็เจ็บป่วยจนมีบางคนเสียชีวิต ตอนนั้นมีรัฐมนตรีคนหนึ่งออกมาบอกว่าจะทำให้คนไทยมีวัคซีนเต็มแขน ตอนแรกก็มีทัวร์ลง คนวิจารณ์กันจำนวนมากโดยเฉพาะผ่านโซเชียลมีเดีย แต่รัฐมนตรีคนดังกล่าวคือนายอนุทิน รมว.สาธารณสุข ก็ยังยืนหนึ่งมาได้ เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ คนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน บางคนก็ฉีดมาแล้วสี่เข็ม บางคนห้าเข็ม สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า รัฐมนตรีที่รับปากกับประชาชนในช่วงดังกล่าวที่เราเจอวิกฤตที่หนักที่สุด เวลาผ่านไปสามปี นายอนุทินก็ทำให้ทุกคนผ่านวิกฤตมาได้ สามารถบริหารจัดการเรื่องวัคซีนจนทำให้ทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนเต็มแขน

หรือเรื่องยารักษาโควิด ฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งตอนช่วงวิกฤตโควิดแรกๆ ตอนนั้นคนบอกกันว่ามีไม่เกินหนึ่งล้านเม็ด หากใครเป็นเยอะต้องทานครบโดสห้าสิบเม็ด คนก็ถามกันว่าจะพอให้คนไทยได้รับยากันทั้งประเทศหรือไม่ ทุกคนกลัวกันหมด แต่วันนี้ผ่านไปสามปี ทุกคนที่เป็นโควิด ได้รับการรักษาหมดทุกคน มียาครบทุกคน จนเวลาผ่านไปแค่ปีกว่าๆ ประเทศไทยสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ที่มีคุณภาพ จนตอนนี้เรากลับมาเปิดประเทศ คนไทยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เรื่องนี้คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าภูมิใจไทย พูดแล้วทำ เป็นตัวอย่างที่สัมผัสได้จริง ผมถึงพูดได้เต็มปากว่า”พูดแล้วทำ”มันเข้มแข็งและหนักแน่นพอ

“อนุทิน” คุณสมบัติพร้อมลงชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

-หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล สามารถขายได้หรือไม่ในการหาเสียงพื้นที่กทม.?

ผมว่าขายได้ ซึ่งผมมีเหตุผลที่จะสนับสนุนในเรื่องนี้ แน่นอนว่าพรรคภูมิใจไทย เราจะไม่ใช้วิธีการในการไปต่อว่าคนอื่น หากดูจากการปราศรัยในพื้นที่ต่างๆ เราจะไม่ใช้วิธีการเมืองแบบเก่าๆ ที่จะไปบอกว่าคนนั้นมีอดีตอย่างไร ไปใช้วิธีการใส่ร้ายคนอื่น เอาดีใส่ตัว เอาชื่อให้คนอื่น แต่เราจะพูดว่า เราจะทำอะไร และเราได้เคยทำอะไรมาแล้ว และครั้งนี้เราจะเสนออะไร เพราะเมื่อเราอยากได้การเมืองแบบใหม่ เราอยากได้การเมืองที่ไปข้างหน้า

เราเห็นแล้วว่าการเมืองแบบอดีต ที่เป็นเรื่องแบบเดิมๆ กล่าวหากัน กล่าวโทษกัน การเมืองมันก็เป็นแบบเดิมๆ ซึ่งหากเราคิดแบบเดิม ทำแบบเดิมๆ มันก็ได้แบบเดิม เราก็เลยคิดว่า เราก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ที่หากไม่ได้เป็นนักการเมือง เราถอยกลับไป เราก็คือคนไทยคนหนึ่ง เราไม่อยากได้อะไร เราก็จะไม่ทำแบบนั้น และประชาชนก็เบื่อการเมืองแบบเดิมๆ เราก็จะไม่ทำแบบนั้น

ส่วนการที่นายอนุทิน หัวหน้าพรรคที่จะเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของภูมิใจไทย ผมมองว่าจากที่เราผ่านสถานการณ์โควิดมาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นใคร ผมบอกได้เลยว่าเรื่องที่ต้องทำก่อนอันดับหนึ่งก็คือ”การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ” ทำให้เกิดการค้าขาย ทำให้มีเงินในกระเป๋าของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด และทำให้ประเทศมีรายได้ สิ่งที่ต้องตามมาก็คือ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต้องมุ่งมั่น และทุ่มเทเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ โดยนายอนุทิน รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข เคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน เคยทำค้าขายมาก่อน รู้จักวิธีการทำมาค้าขายมาอย่างดี ทำธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการสื่อสารพูดคุยภาษาอังกฤษ มีการไปเจรจาต่างๆ จึงมีพื้นฐานที่ทำได้อยู่แล้ว

และเมื่อสถานการณ์เปิดกว้างแบบปัจจุบัน คนที่สามารถเป็นคนกลาง ไม่ทะเลาะกับใคร พาบ้านเมืองไปค้าขาย อย่างเดิมที ประเทศไทยเคยขายข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ตอนนี้อันดับเราตกไป สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือเราต้องไปทวงแชมป์เรากลับคืนมา โดยการที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งหลายต้องทำตัวเป็นเซลล์แมน ไปขายของ เพราะเงินที่เรานำมาหมุนในประเทศ ต่อให้หมุนกันอย่างไร ใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร ก็ยังไม่เพียงพอ

วันนี้สิ่งที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจได้รับการฟื้นฟู ทำมาค้าขายได้ มีอยู่ 2-3 เรื่อง หนึ่งคือต้องค้าขายสินค้าเกษตรที่เป็นหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้าว ปาล์ม ยางพารา ผลไม้ต่างๆ เพื่อดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามาประเทศเรา

สอง ก็เรื่องของอุตสาหกรรม เราเคยเป็นดีทรอยต์แห่งเอเซีย มีโรงงานผลิตรถยนต์เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย แต่วันนี้เขาไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้านเราหมดแล้ว เราต้องไปดึงกลับมาให้ได้

เรื่องสุดท้ายคือเราจะทำอย่างไรให้ “การสร้างงาน” ในประเทศไทย ที่ตอนนี้มันหายไป ไม่มีพลัง นักลงทุนต่างประเทศจากที่เคยจะมาลงทุน ก็ไม่เข้ามา แล้วถามว่าจะทำให้เข้ามาได้อย่างไร ก็ต้องเรื่อง “ท่องเที่ยว” เพราะเมื่อโควิดคลี่คลายแล้ว ประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร คือเมืองในฝันของคนทั่วโลก เราจึงต้องไปชวนให้คนต่างประเทศเข้ามาเที่ยวประเทศไทย

สามเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ที่จะทำให้เงินในกระเป๋าของประชาชน ที่ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรเช่นทำร้านอาหาร ทำกิจการโรงแรม ทำทัวร์ เงินในกระเป๋าของเขาจะกลับมา ซึ่งนายอนุทินทำได้ทั้งสามเรื่อง เพราะอย่างแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมืองต่างๆ ตอนนี้ก็เริ่มเปิดกันมาเยอะแล้ว หากเรานำรายชื่อมาไล่เรียงกันดูว่า ในสามเรื่องข้างต้น ทั้งหาเงินเข้าประเทศ ค้าขายระหว่างประเทศ ให้ไปเจรจาขายข้าว ขายสินค้าเกษตรส่งออกไปต่างประเทศ ไปดึงภาคอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุนในประเทศ ไปดูแลเรื่องการท่องเที่ยว ที่จะเป็นรายได้กลับเข้าประเทศ ต้องไปดูว่าแคนดิเดตนายกฯที่เปิดชื่อออกมาทั้งหมด นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่ต้องมาทำเรื่องเหล่านี้ก่อน แล้วแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนไหนเหมาะที่จะทำเรื่องนี้ คนไหนเหมาะที่จะทำเรื่องเหล่านี้ได้ดีที่สุด ควรต้องใช้งานคนไหน ผมจึงเชื่อว่านายอนุทิน ขายได้ในพื้นที่กรุงเทพฯแน่นอน บนหลักเหตุและผล ทั้งจากสถานการณ์บ้านเมือง โอกาสและจังหวะเวลา และสิ่งที่เราจะต้องไปแก้ไขปัญหาที่เป็นภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะการดึง-การหารายได้เข้าประเทศในทุกมิติ

“พุทธิพงษ์” กล่าวต่อว่าการสื่อสารกับบุคคลแต่ละกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น รูปแบบและวิธีการเลือกตั้งแตกต่างไปจากตอนเลือกตั้งปี 2562 ทั้งวิธีการเลือกตั้ง การนำเสนอต่างๆ รวมถึงสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ ที่ยังห่วงตอนนี้ก็คือ จะทำอย่างไรให้ เราสามารถสื่อสารกับคนกรุงเทพมหานครและคนไทยได้เข้าใจว่าด้วยเหตุผลและสิ่งที่เรานำเสนอ เรื่องนโยบายต่างๆ ทางพรรคตั้งใจนำเสนอสิ่งเหล่านี้เพราะอะไร ซึ่งนโยบายที่พรรคคิดมาแต่ละเรื่องเราตั้งใจ เราคุยกันจนตกผลึกมาหลายรอบกว่าที่นโยบายจะออกมาเพื่อคิดให้พอเหมาะพอดีกับคนกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากฟังเหตุผลในนโยบายที่เรานำเสนอ พูดอะไรที่จับต้องได้ ยกตัวอย่างให้เห็น ก็จะทำให้คนที่ได้รับข้อมูลมีความเข้าใจ ส่วนประชาชนฟังแล้วจะตัดสินใจอย่างไร ตัวผมเองเคารพกับการตัดสินใจ เพราะอย่างที่บอกการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นแตกต่างไปจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ประชาชนครั้งนี้เขาอาจจะคิดเยอะขึ้น ตัดสินใจเยอะขึ้น และทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งโดยเฉพาะ คนกรุงเทพที่ออกมาใช้สิทธิเขาจะมีเหตุผลของเขา

“หัวหน้าทีมเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย” ระบุว่า วันนี้เราแข่งกับตัวเอง พรรคการเมืองอื่นที่แข่งกันไป ก็ว่ากันไป วันนี้เรามองว่าคู่แข่งของเราจริงๆ และเป็นคู่แข่งของเราตรงๆ ถ้าตรงไปตรงมาวันนี้ผมคิดว่าคือพรรคก้าวไกล วันนี้เราต้องพูดตามความเป็นจริงว่าวันนี้ พรรคก้าวไกล เขามีการนำเสนอคนรุ่นใหม่ที่คล้าย ๆกับสิ่งที่เราอยากได้ และวันนี้สิ่งที่ผมทำ ก็คือคนรุ่นใหม่ที่มานำเสนอนโยบายใหม่ๆและอยากทำการเมืองให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่เราก็จะมีความแตกต่างจากเขา

โดยคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะลงสมัคร ผมเป็นคนสัมภาษณ์เองทุกคน ผมจะถามก่อนเลยว่า มีความคิด มีความรู้สึกอย่างไรกับประเทศเรา สิ่งที่อยากจะฟังเพื่อประกอบการตัดสินใจของผมก็คือ น้องเขาต้องรู้บุญคุณของแผ่นดิน บางคนเคยเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล เขาสนใจจะมาลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทย ผมก็ถามเขาว่ารู้ใช่ไหมว่าเงินที่ได้รับให้เป็นทุนไปเรียนหนังสือเป็นเงินภาษีประชาชน ถ้าคิดว่าตรงนั้นมันใช่และอยากมาทำการเมืองเพื่อตอบแทนที่ไปเรียนจบปริญญาโท ปริญญาเอกโดยที่ไม่ได้ใช้เงินตัวเอง มันคืออะไร กับสิ่งที่สุดท้ายที่ทุกคนต้องคิดเหมือนกันคือ เราต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่ผมนำมาทุกคน หากมีความคิดเรื่องนี้ที่แตกต่าง แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ อย่างไรผมก็ไม่รับ ตรงนี้ชัดเจนมาก

ดังนั้น คนรุ่นใหม่ๆ ของพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดใหม่ ตั้งใจ ทุ่มเท มีความรู้ความสามารถและต้องรักบ้านเมือง เพราะตรงนี้คืออุดมการณ์สำคัญ คนจะอยู่ร่วมกัน อย่างน้อยความคิดต้องเป็นไปตามทิศทางเดียวกัน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยชัดเจนมาก ผมได้คุยกับผู้บริหาร คุยกับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ซึ่งภูมิใจไทย สัญลักษณ์พรรคสีน้ำเงิน ผมก็สอบถามว่าสีน้ำเงินดังกล่าวมาจากอะไร ก็ชัดเจนมาก สีน้ำเงินดังกล่าว คือสีเดียวกับธงชาติ ทำให้ใครก็ตามที่จะเดินเข้ามาที่พรรคภูมิใจไทย ต้องมีวิธีคิดเหมือนเราก่อน หากจงรักภักดี ปกป้องสถาบัน และเป็นคนรุ่นใหม่ด้วย พรรคยินดีต้อนรับเสมอ

-พร้อมรับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ หากหลังเลือกตั้งพรรคได้เป็นรัฐบาล?

ทำการเมืองมาทุกครั้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องได้รับตำแหน่งอะไรเลย แม้กระทั่งครั้งที่แล้วที่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้คิด ผมเป็นแบบนี้มาตลอด คนที่รู้จักผมจะรู้เพราะยี่สิบกว่าปีที่อยู่ในการเมืองมา ใครก็ตาม ที่ไม่ได้ใจผม ผมไม่ทำให้ เพราะที่ทำ 99.99 เปอร์เซ็นต์คือใจผมอยากทำ และทำเต็มที่ ซึ่งทำแล้วผลที่ออกมา ไม่เคยไปต่อรองว่า ต้องได้ตำแหน่ง ไม่มี ซึ่งมองว่า อยู่แบบนี้ ก็จะมีความสุข ไม่ค่อยเครียด จะมีความสุขกับการได้ทำงาน

บางคนอาจมีเป้าหมายอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับผม ให้พูดตรงๆ ก็คือ ชีวิตคนๆหนึ่ง ที่เรียนจบ มีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศ รับราชการมา แล้วลาออกมาทำงานการเมืองเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว โดยได้โอกาสจากประชาชนให้ทำงานการเมืองมาต่อเนื่องร่วมยี่สิบสองปี และกับอายุเท่านี้ ได้เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการฯมาแล้ว ผมคิดว่าในชีวิตของคนๆหนึ่ง ก็ถือว่าเติมเต็มโอกาสที่ผมได้รับมาเต็มที่แล้ว มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว จากนี้ไปจึงไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้แล้ว ถ้าได้เป็นอีกก็ทำงาน แต่หากไม่ได้เป็น อย่างน้อยก็เคยได้เป็นอดีตรัฐมนตรีแล้วกับอายุห้าสิบต้นๆ ก็เป็นความภาคภูมิใจของผม จากที่เคยเป็นอดีตข้าราชการตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ลาออกมาทำงานการเมืองแล้วก็ได้รับโอกาส

Written By
More from pp
ศึกษาศาสตร์ มข. จับมือ SWU จีน พัฒนากำลังคนชั้นสูงทางการศึกษาตอบสนอง Education Disruption
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร พร้อมด้วย รศ.ดร.จารุณี ซามาตย์ รองคณบดีฝ่ายการศึกษาและบริการวิชาการ และ อ.ดร.นฤภรณ์ วุฒิพันธุ์...
Read More
0 replies on “ภูมิใจไทย-พูดแล้วทำ กับการปักธง กรุงเทพมหานคร”