สันต์ สะตอแมน
เวลานี้..
หากผมพูดว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชากรโลกนิยมและใฝ่ฝันที่จะมาเที่ยวสักครั้งก่อนตาย คงมีคนไม่เชื่อ
โดยเฉพาะพวกที่ไม่ชอบให้ความสงบสุขเกิดขึ้นในบ้านเมือง พวกไหนน่ะเหรอ? เอาว่าจะเป็นพวกไหนนั้น ขออ้างบาลีภาษาวัด “ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ” ละกัน
หมายความว่า อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน ในที่นี้ก็คือชอบหรือไม่ชอบ ก็มีแต่ตนเองเท่านั้นที่รู้คนอื่นจะมารู้แทนกันไม่ได้
เหมือนรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง คนไม่รับประทานจะบอกว่าอร่อยหรือไม่อร่อยแทนคนที่รับประทานไม่ได้
แกงถ้วยเดียวกันถึงจะกินด้วยกัน ก็ยังไม่สามารถที่จะบอกได้แน่ๆว่า อร่อยเท่าเทียมกันหรือไม่ คนหนึ่งอาจจะไม่อร่อย อีกคนอาจจะบอกอร่อยมากเลย
หรืออาจบอกอร่อยแต่ไม่ชอบ หรือเฉยๆ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่างนี้แหละที่เรียกว่าปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้เอง
ทีนี้ใครที่ไม่เชื่อว่าประเทศไทยเรากำลังเป็นประเทศยอดนิยมของประชากรโลก ก็อยากแนะนำให้ลองไปดูในยูทูปก็จะรู้ได้เอง จริงไม่จริง!
อะไรที่ทำให้ประเทศของเราได้รับความนิยมชมชอบมากหมาย เหตุปัจจัยเยอะครับ แต่สรุป.. ชอบคนไทยเพราะอุปนิสัยดีงาม ชอบบ้านเมืองสวยงาม ชอบธรรมชาติ ภูเขาทะเล
ชอบความสะดวกสบายของความเป็นอยู่ ชอบความทันสมัย ชอบอาหาร ชอบค่าครองชีพ ชอบสังคมอยู่แล้วสนุก ไม่เครียด เป็นสังคมที่คนมีน้ำใจไมตรีฯลฯ
รวมๆ แล้วมันตอบสนองความรู้สึกที่ใช่สำหรับพวกเขา!
สิ่งที่ยืนยันความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ รายได้หลักของประเทศจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้น สามารถเป็นข้ออ้างอิงได้เป็นอย่างดี
ไม่ต้องย้อนไปดูในปีที่ผ่านๆ มา ดูจากที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประมาณรายได้ท่องเที่ยวไทยปี 2566 นี้ก็ได้
คาดว่าปี 2566 มูลค่าการท่องเที่ยวไทยจะเติบโตในอัตราเร่งแตะ 2.25 ล้านล้านบาท จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งแตะ 28 ล้านคน
โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายต่อทริปสูงจะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลทางอ้อมให้การท่องเที่ยวปี 2566 นี้มีความคึกคักเพิ่มสูงขึ้น
เฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ปลายทางสำคัญ ได้แก่ กทม. ชลบุรี ภูเก็ต สงขลา เชียงใหม่ ในขณะที่เมืองรองซึ่งมีศักยภาพในการท่องเที่ยวต่าง ๆ มีโอกาสเติบโตมากขึ้น
ด้วยการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเมืองหลักในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อหนุนให้ภาคการท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตในระยะยาวและก้าวข้ามระดับสูงสุดใน 1-2 ปีข้างหน้า
เห็นรายงานข่าวอย่างนี้ ถ้าใครยังเถียงว่าโม้ ก็ไม่ว่ากันล่ะ!
คราวนี้มาดูในส่วนของกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ยังมองว่า ประเทศไทยมีความเหมาะสมที่สุดในการมาลงทุนทำหนังอยู่หรือไม่?
เนี่ย..ต้องดูการรายงานของกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ซึ่งในห้วงปี 2560-2566 มีภาพยนตร์จำนวนกว่า 45 เรื่องที่เข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
นำรายได้เข้าประเทศเกือบ 9 พันล้านบาท หมุนเวียนเศรษฐกิจในอัตราทวีคูณถึงกว่า 17,000 ล้านบาท
ภาพยนตร์ต่างประเทศหอบเงินมาให้ถึงบ้านมหาศาลขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่รัฐบาลนายกฯลุงตู่จะได้ให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น
ในลักษณะเป็นสิทธิประโยชน์ในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) ตามมติคณะรัฐมนตรี (7 ก.พ. 2566) ร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี
สิทธิประโยชน์หลักอยู่ที่ร้อยละ 20 เมื่อมีการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่วนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมรวมแล้วไม่เกินร้อยละ 10
แน่นอนว่าจะเป็นเสน่ห์-แรงดึงดูดใจให้ภาพยนตร์ต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุน-ถ่ายทำมากขึ้น!
ส่วนกิจการภาพยนตร์ภายในประเทศของไทยนั่นเรอะ จากสภาพก็อยากบอก อย่าไปเสียเวลาด้วยเลย ไม่ต้องทำอะไรด้วยหรอก เพราะไม่รอดแน่นอน ผมเองยังเบื่อจะพูดถึง..
พูดเสียตรงๆ อย่างงี้แหละ!