เปลว สีเงิน
ถ้ามีการทำโพล ว่า…..
ราชการหน่วยไหน “คอร์รัปชัน” อันดับ ๑?
คำตอบน่าจะสรุปที่ “ตำรวจ”!
แต่จริงๆ แล้ว อาจเป็นหน่วยอื่นก็ได้ แถมหนักกว่าด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ติดอันดับ เพราะหน่วยนั้น สัมพันธ์-สัมผัสกับกลุ่มคนจำเพาะ
การลืม “ถุงขนม” หรือ “กระสอบขนม” จึงเป็นการ “เอื้ออาทร” ที่สมประโยชน์กันเฉพาะวงการ
เลยจัดอยู่ในหมวด “คอร์รัปชันโดยสุจริต”!?
ต่างกับหน่วยงาน “ตำรวจ” ที่ต้องเจอหน้ากับชาวบ้านทั่วไปทุกวัน โดยเฉพาะตำรวจจราจรและการตั้งด่าน
แต่ละท้องที่ นอกจาก “ส่วย” ประจำเดือนจากสถานบริการ อบายมุข ธุรกิจเทา หวยใต้ดิน และฯลฯ แล้ว
การตั้งด่าน คือ “อาหารเสริม” ชั้นดี
แต่ละปี รวมแล้ว “ก้อนโต” ระดับพันล้าน!
เพราะเหตุนี้ ตำรวจจึงมีภาพลักษณ์ “โจรในเครื่องแบบ” ในสายตาชาวบ้าน ติดอันดับ ๑
ถึงขั้นเรียกร้องระงมเมืองให้ปฎิรูป “ระบบตำรวจ”!
แรกๆผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ว่า “ปฎิรูป” แล้วมันจะแก้ได้
แต่คิดไป-คิดมา ถ้าคนมันชั่ว ปฎิรูปไปอยู่ในระบบไหน มันก็พลิกแพลงชั่วจนได้
จับปฎิกริยาจากเงาสะทอนสังคมโลกทุกวันนี้ ล้วนมุ่งเน้นแต่ “วัตถุสนองอยาก” และความมั่งมีทางเงินทอง
“ละทิ้งความสะอาดทางจิตใจ” คือด้าน บาป-บุญ-คุณ-โทษ ไปทั้งสิ้น
แบบนี้ ต่อให้ล้านปฎิวัติ ตำรวจซึ่งมีกฎหมายในมือ มันก็แก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้
แต่ทำให้ “อยู่ในวงจำกัด” พอได้!
เรามักพูดกันว่า “กฎหมายไม่เอาจริง” นั่นเป็นการสรุปจากปลายเหตุ
กฎหมายก็คือกฎหมาย ไม่หย่อน ไม่ตึง เอาจริงเสมอ
คนใช้กฎหมายตะหาก ตั้งแต่ต้นทาง คือตำรวจ กลางทาง คืออัยการ ปลายทางคือศาล คือผู้มีส่วนทำให้เกิดคำว่า “หย่อนหรือไม่หย่อนยาน” และเอาจริง-ไม่เอาจริง
“ตำรวจ” คือต้นทางผู้ใช้กฎหมายกับชาวบ้าน
ในเมื่อตำรวจเป็นผู้มีอำนาจทางกฎหมายใช้ “จับคน-ปล่อยคน” เป็น “ต้นทางยุติธรรม”
ดังนั้น ผู้ทำให้เกิดคำว่า “กฎหมายไม่เอาจริง” ก็คือ
ตำรวจนี่แหละ จำเลยที่ ๑!
ตำรวจจับชาวบ้านเข้าคุก สมมติ ๑ พันคน แน่ใจหรือว่าที่จับแล้วตั้งข้อหาเขานั้น “ผิดจริง” ทั้งพันคน?
และที่เขาไม่ผิด แต่ตำรวจ “ยัดข้อหา” ให้ผิดจนติดคุกทั้งพันคนนั้น มีตำรวจที่ผิด ซัก ๑ คนมั้ย….
ที่ตำรวจด้วยกันจะ “จับตำรวจชั่ว” คนนั้นดำเนินคดี?
ก็ไม่มี!!!
ในทางตรงกันข้าม จริงมั้ย ๑,๐๐๐ คน ที่ตำรวจว่าไม่ผิด แล้วปล่อยไปบ้าง ทำสำนวนให้อ่อนทางพยานหลักฐานบ้าง
สบตา แล้วตอบซิ คนเหล่านั้น “บริสุทธิ์” จริง
หรือ “ต้นทางยุติธรรม” ทำให้เขาบริสุทธิ์ ด้วยอสัตย์!?
เพราะ “หมาไม่กินเนื้อหมา” นั่นแหละ นอกจากไม่กินแล้ว หมายังล่าเหยื่อส่งส่วยหมาเป็นชั้นๆ
การขายสำนวน การรีดไถ จึงเป็น “วิสามัญคอร์รัปชัน” ในระบบสีกากีฝังราก
เป็นเรื่องฉาวขึ้นมา ก็ย้ายพอให้เป็นข่าวซักพัก
แล้วก็ย้ายกลับที่เดิมบ้าง ให้ไปลากหางวิสามัญคอรัปชั่นสืบสานระบบส่วยต่อท้องที่อื่นบ้าง
ทั้งหลาย-ทั้งปวง….
มันก็วนอยู่ใน “วงจรส่วย” ด้วยกัน ตบตาประชาชนไปอย่างนั้นเอง
ตำรจจึงไม่เกรงกฎหมาย เพราะกฎหมายอยู่ในมือตำรวจ ทั้งผู้บังคับบัญชาบางคน ก็ส่วนหนึ่งในวงจร
เมื่อหมาไม่กินเนื้อหมา…..
แล้วใคระล่ะ จะมาใหญ่กว่าตำรวจ?
คำถามนี้ ก่อนหน้า แม้แต่สโนว์ไวท์ก็ตอบไม่ได้ แต่วันนี้ ถ้าถาม มีคนตอบได้แน่ ว่า
ก็ “ชูวิทย์น่ะซี…ใหญ่กว่าตำรวจ”!
ใหญ่-ไม่ใหญ่ ก็ดูนี่ซี……..
เมื่อวาน (๒ กพ.๖๖) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถนนตลิ่งชัน
พนักงานสอบสวนนำตัว ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ รอง สวป.สน.ห้วยขวาง, ร.ต.อ.ปฏิภาณ รอง สว.ธร.สน.ห้วยขวาง ปฏิบัติหน้าที่ รอง สวป.สน.ห้วยขวาง,
ด.ต.กฤษฎา ผบ.หมู่ ป.สน.ห้วยขวาง,ส.ต.อ.เฉลิมชัย ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง
ส.ต.อ.วัชรนนท์ ผบ.หมู่ ป.สน.ห้วยขวาง,ส.ต.อ.นันทวัชร์ ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง
ผู้ต้องหาที่ ๑-๖ ไปยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลเป็นเวลา ๑๒ วัน ในความผิดฐาน
เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
อันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙,๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา
กรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่า ได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะกับเพื่อน เพื่อเดินทางกลับโรงแรม
ระหว่างท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๖ เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น.
ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย บริเวณถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ
ได้เรียกตรวจค้นและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง เรียกรับเงินสดเป็นจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท แล้วปล่อยตัวแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้ต้องหาทั้งหมด “ให้การปฏิเสธ” ข้อกล่าวหา
โดยศาลพิจารณาคำร้องเเล้วอนุญาตฝากขังได้ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง ๖ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว
ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบภาพลักษณ์และกระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยรวม
อีกทั้งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและกระบวนการในชั้นสอบสวน
ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
จากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
นี่…..
ถ้าชูวิทย์ไม่เป็น “เจ้าภาพร่วม” อย่างเก่ง ย้ายแล้วก็ต้องกรรมสอบสวนข้อเท็จจริง สังคมลืม ตำรวจก็ลืมไปด้วยเลย
ถ้าไม่ลืม ซักปี-ครึ่งปี มีผลออกมา ก็เน้นโทษทางวินัย ส่วนเรื่องอาญา ทำเหรอหรา ก็ลืมๆ ไปอีก
ก็ต้องขอบคุณ ผบ.ตร. “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” ด้วย ที่ท่านจริงใจ-จริงจัง เห็นได้จากทีแรก นครบาลตั้งข้อหามาตรา ๑๕๗
นั่นเหมือน “ดีดไข่เด็ก” เล่น ว่าด้วยการละเว้น ไม่ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่
ที่มันเป็นเรื่อง-เป็นคดี คือการรีดไถ เข้าความผิดตามมาตรา ๑๔๙ โทษสูงสุดถึง “ประหารชีวิต” หรือติดคุกตลอดชีวิต กลับไม่ตั้ง
แต่ที่ฟ้องเมื่องวาน ฟ้องในความผิดทั้งมาตรา ๑๔๙ และมาตรา ๑๕๗
แสดงว่า รายการนี้ “ละครจริง” ไม่ใช่ “ละครลิง”!
จากคดีตู้ห่าวถึงคดีดาราไต้หวัน “คอร์รัปชันตำรวจ” ที่ผบ.ตร.ดำรงศักดิ์ลงมากำกับการแสดงเอง
จะบอกว่านี่คือการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” หรืออย่างไรก็ช่าง แต่ในความรู้สึกผม
ผมนับถือในความจริงใจท่านนะ!
เป็นผบ.ตร.มา ๓-๔ เดือน ไม่เคยเสวยสุขเหมือนผบ.ตร.คนอื่นเขา มีแต่เสวยทุกข์จากเรื่อง “ตำรวจโจร” มาตลอด
คุณชูวิทย์ ถือเป็น “คู่บุญ” หรือ “คู่บาป” ก็ไม่ทราบ ถ้าบอกว่า ผบ.ตร.เป็นพระเอก
คุณชูวิทย์ ก็รับบท “ผู้ช่วยพระเอก” ในบท “ล้างชุมทางโจร” มาตลอด!
ตำรวจสาย “นิยมส่วย” ทั้งหลาย โปรดทราบ
รอ “ปฎิวัติระบบตำรวจ” มันช้า และไม่ได้ผล
ต้องใช้วิธีการ “ช็อตปลาในบ่อ” ด้วยไฟฟ้า คือเอาทั้งวินัย ทั้งอาญา แบบนี้แหละ
เอาให้เห็นเป็น “อะยัมภะทันตา” ไม่อ้างระเบียบช่วยลากจนลืมอย่างที่ผ่านๆ มา
ล้างคุกรอได้เลย ระดับ “นายพัน-นายพล” กำลังมีเดินเข้าคุกเป็นรายต่อๆ ไป
คำว่า “ปฎิรูป” ไม่รู้หน้าตามันเป็นยังไง
ตำรวจจับตำรวจเลว “เข้าคุก” นั่นแหละ ถึงจะร้อง…อ้อ
ตำรวจเลว “หน้ามันเหลี่ยมๆ” พันธุ์เดียวกันอย่างนี้นี่เอง!
เปลว สีเงิน
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖