ทำไมต้อง “กดบัตรแทนกัน?”

สมัยก่อน………
เรือสำเภอ มีหินเป็น “ตัวอับเฉา” ถ่วงท้องเรือ กันเรือโคลง
สมัยนี้……
ประชาธิปไตยเลือกตั้ง มีสส.เป็น “ตัวอับเฉา” ถ่วงประเทศ กันบ้านเมืองเจริญ!

ตั้งแต่ ตุลา.๖๒
บ้านเมืองพัฒนาผ่านโครงการลงทุนอะไรไม่ได้ เพราะงบประมาณ ปี ๖๓ อยู่ในช่วง สะดุดขั้นตอนประชาธิปไตย

นี่ก็ผ่านเข้ามา มกรา.๖๓
กว่าสภาผู้แทนราษฏร จะปล้ำผีลุก-ปลุกผีนั่ง พรบ.งบประมาณเสร็จ ผ่านวุฒิสภาตามขั้นตอนเสร็จ
นึกว่า “งบผ่าน-โครงการเดิน-เงินมา” ซะที

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

การลงทุน การจัดซื้อ-จัดจ้าง ผ่านโครงการลงทุนภาครัฐทั้งหลาย จะได้เป็นตัวฉุดกระชากลากระบบเศรษฐกิจที่ติดแหง็ก ให้เขยื้อนซะที
ที่ไหนได้ พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันนั่นแหละ ด้วย “ภูมิใจไทยรำ-ประชาธิปัตย์ร้อง”

ไอ้นั่น-อีนี่ “เสียบบัตรแทนกัน”
งบประมาณแผ่นดิน “ไฟตัน-น้ำมันช็อต” ขึ้นมาทันที
ถึงขั้นต้องหามส่งให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยด่วน

เหตุจาก “จิตสำนึกคนเจริญไม่ถึงประชาธิปไตย” แต่อยากเป็นประชาธิปไตย อย่างตะวันตกเขาเป็น นั้น

กรณี “เสียบบัตรแทนกัน” นี้ ผลก็จะมี ๒ สถาน
๑.แท้ง คือโมฆะทั้งฉบับ
๒.ไม่แท้ง ต้องกลับไปซ่อมบางมาตรา

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

จะสถานไหน ก็ขึ้นอยู่กับวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตามคำร้อง ตามเอกสาร-หลักฐาน
และตามคำให้การของสส.ที่จะต้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองตอนสุดท้าย ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นเข็มชี้

สรุปแล้ว “ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง” ไม่ว่าจะด้านไหน งบปี ๖๓ ที่ช้าอยู่แล้ว จะต้องช้าต่อไปอีก ๓-๔ เดือนแน่

ภาษีที่เก็บๆ ไป ที่จะใช้จ่ายในปี ๖๓ ได้แค่เอาไปเลี้ยงระบบราชการ รวมทั้งพวกสส.เท่านั้น

แต่จะเอาไปลงทุนพัฒนาประเทศไม่ได้เลย จนกว่าพรบ.จะประกาศใช้ คร่าวๆ ก็โน่นแหละ ไม่หนี พฤษภา.
แต่ไม่ต้องกลัว ในทางเทคนิกแก้ไขได้ การลงทุนตามโครงการต่างๆไม่สะดุดแน่

แต่คำว่า “งบฯไม่ผ่าน” มันสร้างบรรยากาศลบต่อการลงทุนของภาคเอกชนทุกด้าน

ไม่ต่างกับ “เงินไม่มา-กาไม่เป็น” สักเท่าไรนัก

คือคนเรา เมื่อบรรยากาศไม่อำนวย
คำว่า “ความเสี่ยง” มันจะเข้ามาแทนคำว่า “ความมั่นใจ”!

แล้วจะโทษใคร……..?

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

ปล้นทอง ก็โทษประยุทธ์ ฝุ่นคลุ้ง ก็โทษประยุทธ์

“สส.เสียบบัตรแทนกัน”………
จะไม่โทษประยุทธ์ มันก็เสียหมา “แดงอมส้ม-ส้มอมแดง” น่ะซี!

โลกนี้ ไม่มีอะไรบังเอิญ อะไรจะเป็นไป มันก็ต้องเป็นไป ฉะนั้น อย่าไปเสียหัวกับมัน
และไม่ต้อง “เถียง-ทะเลาะ-อวดรู้” ให้มากความกันไป พรบ.งบฯ จะแท้ง-ไม่แท้ง รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดีที่สุด

ระหว่างนี้ เรามาดูตามหลัก “ผลย่อมมาจากเหตุ” ดีกว่า ว่าทำไมสส.จึง “หนังหนา” กันขนาดนี้?

เพราะเรื่อง “เสียบบัตรแทนกัน” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องเหนือสำนึกพื้นฐานระดับคนใน “สถาบันนิติบัญญัติ”

เคยมีสส.ทำอย่างนี้ กฎหมายโมฆะไปแล้ว ถูกตัดสิทธิการเมืองไปแล้ว อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอาญา “โทษคุก” รออยู่แล้ว สส.ทุกคน ไม่รู้-ก็ต้องรู้ ในกรณีนี้………

ฉะนั้น ต้องสำเหนียก สังวร ระวัง ที่จะไม่เสียบบัตรแทนกัน หรือกระทำในลักษณะโหวตแทนกัน

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

แต่ ทำไมยังเหมือนวัวควายที่ไม่ระคายปฏัก มันต้องมีสาเหตุ?
ก็เลยไปศึกษาหาความรู้ ได้ข้อเท็จจริงอันเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของเหตุ มาว่า
สส.๕๐๐ ขณะนี้ อยู่ในลักษณะ “สัมภเวสี” คือพวกผีเร่ร่อน ไม่มีสถานที่สิงสู่เป็นหลักแหล่ง

เพราะห้องประชุมในความเป็น “สภาผู้แทนราษฏร” ที่สัปปายสภาสถาน” เกียกกาย ยังไม่เสร็จ

ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้……….
อาศัยห้องประชุม “วุฒิสภา” เป็นที่ประชุมชั่วคราว!
วุฒิสมาชิกหรือสว.มีเพียง ๒๕๐ คน

ดังนั้น ……..
“เครื่องลงคะแนน” จึงมีน้อยกว่าจำนวน ๕๐๐ สส.ที่มาใช้ห้อง
ผู้มาศัยใช้สถานที่ เท่ากับทุกคน “ไม่มีที่นั่งประจำ” สุดแต่ใครเลือกนั่งตรงไหน
และเครื่องลงคะแนน ไม่ได้มีติดอยู่กับทุกที่นั่งเหมือนสภาเก่า

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

สส.มี ๕๐๐ คน เวลา “กดบัตร” จะแสดงตนก็ดี โหวตมติใดๆ ก็ดี ที่จะให้ “กดปุ๊บ-ติดปั๊บ” ในเวลาอันรวดเร็ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

ก็คิดดู มีเครื่องกดบัตร ๓๐๐ เครื่อง แต่สส.ต้องใช้กดพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน ๕๐๐ คน
ในเวลาเป็นวินาที หรือไม่เกินนาที ที่ขานกันว่า “ครบครับ…เรียบร้อยครับ” ตามที่ได้ยิน

ผมชักสงสัย การเช็คชื่อ-การโหวต ทุกครั้งผ่านมาของสส.ที่สัปปายสภาสถาน
แน่หรือ ที่ไม่ “กดบัตรแทนกัน”!?

ฝากเป็นคำถามทิ้งไว้ก่อน และเท่าที่ผมไปศึกษา ก็ยังได้ความเพิ่มเติมว่า ตามปกติ ที่สภาผู้แทนราษฏรเดิม สส.จะมีบัตรคนละ ๒ ใบ
ใบหนึ่ง ติดตัว อีกใบ เจ้าหน้าที่รัฐสภาเก็บไว้ เหมือนโรงแรม ถึงเราได้กุญแจห้อง แต่โรงแรมก็ต้องมีเก็บสำรอง
แต่เมื่อย้ายมาสภาใหม่ ยังไม่มีห้องประชุมของตัวเอง สส.แต่ละคนไม่มีที่นั่งประจำ
สส.จึงมี “บัตรใบเดียว”

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

ผู้ใหญ่ในรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่สส.บอกผมว่า ทางเจ้าหน้าที่รัฐสภาบอก……
“แหย่บัตรคาไว้ได้ เลิกแล้วเขาจะมาเก็บเอง”!

มาฟังที่ “นายสรศักดิ์ เพียรเวช” เลขาฯสภา บอก ว่าตรวจสอบสอบแล้ว เหตุเกิดขึ้นได้ใน ๓ กรณี

๑.บางส.ส.เสียบบัตรค้างไว้ มีคนมากดลงมติแทน
๒.บางส.ส.เบิกบัตรสำรองไปให้คนอื่นเสียบบัตรลงมติแทน ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เข้าร่วมการประชุม
๓.เสียบบัตรแทนกัน เนื่องจากเครื่องลงคะแนนไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบัน ส.ส.ใช้ห้องประชุมของส.ว.ซึ่งมีเครื่องลงคะแนนเพียง ๓๑๘ เครื่อง ไม่ครบตามจำนวนสส. ๔๙๘ คนในปัจจุบัน
ขาดไป ๑๘๐ เครื่อง ทำให้ส.ส.ต้องใช้เครื่องในการลงคะแนนซ้ำกัน

ก็เป็นข้อมูลต่างกัน ผู้ให้ข้อมูลผม บอกตอนนี้ มีบัตรใบเดียว แต่เลขาฯสภาผู้แทนบอก “มีบัตรสำรอง”

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

ส่วนประเด็น “เสียบคา” นายสรศักดิ์ไม่ได้บอกให้เคลียร์ว่า ทางเจ้าหน้าที่สภา บอกให้เสียบคาไว้ได้ ช่วง “ห้องประชุมยืมใช้” หรือฝ่ายสส.เสียบคาไว้เอง

“เสียบคา” นี่ ต้องอธิบายถึงเจตนาให้เคลียร์นะ เพราะมันมีผล “ถึงขั้นคุก”
ยิ่งใครใช้กฏหมายแบบ “หัวลูกเต๋า” โดยไม่ไล่เลียงที่มา-ที่ไป ไม่คำนึงด้าน “เจตนา” เป็นฐาน จะอันตรายมาก

เพราะมองตามเหตุผล อย่างกรณี “นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตสส.ประชาธิปัตย์ แสดงหลักฐาน สส.ภูมิใจไทย ตัวไม่อยู่ในที่ประชุม แต่มีชื่อโหวตมาตราต่างๆของร่างพรบ.งบประมาณ ด้วย “เสียบบัตรแทนกัน”

อย่างนั้น ชัดเจน “กดบัตรแทนกัน” ด้วยเจตนาทุจริต

แต่อย่างกรณี โทรทัศน์ช่อง ๗ ถ่ายตอนสส.กดบัตร แล้วนำสรุปทันใด ว่าที่ “กดหลายใบ” คือทุจริต “กดบัตรแทนกัน” โดยยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหมือนกรณีคุณนิพิฏฐ์ นั้น
อาจไม่เป็นธรรมกับสส.เขาก็ได้ ………

จนกว่าได้ตรวจสอบว่า ที่กดแทนกันนั้น กดแทนในลักษณะและด้วยเหตุผลใด?

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

เพราะต้องคำนึงด้วยว่า……..
๑.สส.มีมากกว่าเครื่องลงคะแนน
๒.บางที่นั่งไม่มีเครื่อง ต้องลุกมากดตรงจุดที่มีเครื่องพร้อมกันหลายคน จึงให้คนเดียวกดแทน
๓.ต้องพิสูจน์ให้ชัดก่อนว่า เจ้าของบัตรมีตัวตนอยู่ที่นั้นด้วยหรือไม่
คือเฉพาะคำว่า “กดแทนกัน” มันผิด ๑๐๐%อยู่แล้ว

แต่เมื่อดูข้อเท็จจริง-ดูเจตนา เพียงกดแทนกัน ด้วยเหตุเพราะคนใช้มากกว่าเครื่อง และที่กดนั้น เจ้าของบัตร ตัวตนอยู่จริงในสถานที่ตรงนั้น
ก็ “สุจริตในเจตนา” ผิดที่กระทำ คือ “กดบัตรแทนกัน” ซึ่งตรงนี้ วิญญูชนวินิจฉัยได้

ถ้าเถรตรง ในกรณี “ห้องประชุมยืมใช้” ใครกดแทน ทุบโต๊ะ “ผิดหมด”
ผมว่า ที่โหวตกันมาในสภาใหม่ อาจ “โมฆะ” หมดก็เป็นได้

คิดดูทางเป็นจริงซี สส.เกือบ ๕๐๐ คน พอประธานให้กดบัตรลงคะแนนปุ๊บ ไม่ถึง ๓๐ วินาทีมั้ง ผลออกมาแล้ว?
มีเครื่อง ๓๑๘ เครื่อง คนใช้ ร่วม ๕๐๐ คน

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

มันเป็นไปได้ทางปฏิบัติจริงหรือ…….
ที่ส่วนเกินเครื่องกดอีก “เกือบ ๒๐๐ คน” เข้าคิวกดต่อได้ทุกคน เบ็ดเสร็จไม่ถึง ๓๐ วิ.สูงสุดไม่เกิน ๑ นาที?

กฎหมายน่ะ ต้องยึด แต่ถ้ายึด โดยไม่คำนึง “ข้อเท็จจริง” กฎหมายจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

กรณีโหวตร่างพรบ.งบประมาณ สส.ฝ่ายค้านร่วม ๒๐๐ คน “งดออกเสียง” แสดงว่า เครื่องลงคะแนนว่างจำนวนมากก็จริง
แต่การจัดผังที่นั่งแบ่งซีกค้าน-ซีกรัฐบาล และยังแบ่งสัดส่วนเป็นแต่ละพรรค

นั่น…ถึงเครื่องลงคะแนนว่าง ใครก็ไม่รู้เครื่องตรงไหนว่าง จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่รัฐสภาต้องคำนึงและเคลียร์ให้ชัด

สรุปทั้งหมด ถ้าเป็นสส.ยังทุจริตตั้งแต่เรื่องกดบัตร

แล้วจะมีให้รกบ้าน-รกเมืองไปทำไม?

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

Written By
More from plew
เวนคืนที่วัด “สัจจะรฟม.” – เปลว สีเงิน
มีคำชี้แจงเรื่อง “รื้อวัดทำสถานีรถไฟฟ้า” ดังนี้ ครับ คุณ TAWATCHAI CHONGVUTICHAI ส่งข้อความผ่าน WWW.PLEWSEENGERN.COM ว่า
Read More
0 replies on “ทำไมต้อง “กดบัตรแทนกัน?””