ผักกาดหอม
นับหนึ่งอีกครั้ง
คราวนี้นับหนึ่งในฐานะนักการเมือง ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ครับ…วันนี้ (๙ มกราคม) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
สถานที่จัดงานคือ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้อง Exhibition Hall 1 ชั้น G
ภายใต้ชื่องาน “รวมใจ รวมไทยสร้างชาติ”
จะมีการเสวนา “ภาษาไตรรงค์” โดย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี
ไฮไลต์ของงาน มีการเปิดวีดิทัศน์ของพรรค พร้อมกับการเปิดตัวสมาชิกพรรค คนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหญ่ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค จะได้กล่าวถึงแนวคิดและจุดยืนของพรรค
และจบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเวทีเวลา ๑๘.๐๐ น. กล่าวถึง Mission และทิศทางก้าวต่อไปเพื่อคนไทยทั้งชาติ
ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว
และนับจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง ไม่ได้อีกต่อไป
ก็ธรรมดาครับ เมื่อมีความชัดเจน ย่อมมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ที่เห็นด้วยคงไม่ต้องไปพูดถึง
แต่ที่ไม่เห็นด้วย มีประเด็นน่าสนใจ เพราะตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง นักการเมืองโดยเฉพาะจากฝ่ายค้าน พากันเหน็บแนมว่าเป็นคนนอก ฉะนั้นควรเข้ามาสังกัดพรรคการเมือง
ครั้นสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ก็ยังมีเสียงด่าอีก ว่าไม่รู้ชั่วดี
“จาตุรนต์ ฉายแสง” แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ด่าเอาไว้ครับ
“…การที่พลเอกประยุทธ์จะเข้าเป็นสมาชิกพรรคและประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองใหม่ในวันที่ ๙ มกราคมนี้ จะเป็นฤกษ์ดีหรือร้ายก็ตาม แต่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควรกระทำโดยนายกรัฐมนตรี เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ โดยเป็นแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐเท่ากับทำสัญญาประชาคมกับประชาชนไว้ในนามพลังประชารัฐ จะบริหารงานดีหรือเลวพลังประชารัฐย่อมต้องรับผิดชอบทางการเมือง
มาเป็นสมาชิกพรรคและประกาศเป็นแคนดิเดตของพรรคอื่นแบบนี้ ความรับผิดชอบทางการเมืองจะอยู่ที่ไหน
เรื่องนี้เทียบเคียงกับการที่รัฐธรรมนูญห้าม ส.ส.ย้ายพรรคก็เหมือนกัน ประชาชนเลือกคุณมาในฐานะที่คุณสังกัดพรรคหนึ่ง เมื่อได้รับเลือกตั้งมาแล้วจึงไม่อนุญาตให้ย้ายพรรคได้
ถึงแม้รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ว่าห้ามนายกฯ ย้ายพรรคขณะเป็นนายกฯ แต่พลเอกประยุทธ์ก็ควรรู้จักผิดชอบชั่วดีกว่าที่ทำอยู่…”
ถ้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง มีเรื่องอื่นไม่ถูกต้องมากกว่าหลายเท่าตัว
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยยังยอมอยู่ใต้ตีนคนโกง นี่ถือว่ารู้จักผิดชอบชั่วดีหรือไม่
ส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ก็เพราะ ส.ส.ไม่ยอมหลุดพ้นจากการสนตะพายของคนโกงนี่แหละครับ
ทั้งๆ ที่รู้อยู่ โดยกติกาของรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งจะต้องสังกัดพรรคการเมืองตามระยะเวลาที่กำหนด
หากสภาอยู่ครบวาระก็ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า ๙๐ วันนับถึงวันเลือกตั้ง
กรณียุบสภาก็ลดลงมาเหลือ ๓๐ วัน
ก็ถาม “จาตุรนต์” หน่อยว่า จะให้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองช่วงเวลาไหน
หรือห้าม “พล.อ.ประยุทธ์” เล่นการเมืองตลอดชีวิต
เอาอะไรมาห้ามเขา
ไหนบอกว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
มองย้อนกลับไปพรรคเพื่อไทยซิครับ โครงสร้างพรรคบิดเบี้ยว ในโลกนี้ไม่มีใครเขาทำกัน
หัวหน้าพรรค กลายเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรการ
โน้น…ลูกสาวเจ้าของพรรคโน้น ถึงจะมีสิทธิ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค
หรือว่าไม่จริง?
ก็แปลก พอเขาเข้าสู่การเมืองตามระบบ กลับหงุดหงิดไม่พอใจ ชี้นิ้วด่ากราด
จะเอาไงแน่?
ครับ…นี่ก็น่าสนใจ
“สัณหพจน์ สุขศรีเมือง” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ แบบไม่ต้องไว้หน้ากันแล้ว
“…ปรากฏการณ์แยกกันทําพรรคในลักษณะนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เป็นการคิดสั้น แต่เพราะผู้ใหญ่คงมองรอบด้านมากกว่า อยู่ที่สูงคงมองเห็นอะไรมากกว่า และคงเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี
แต่ประวัติศาสตร์มีเห็นชัดว่ายุคสมัยของนายพลทั้งหลายมักจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ มีเพียง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามและเป็นที่จดจํา
ถ้ารู้จักพอก็จะเป็นวีรบุรุษ แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ก็จบไม่สวยสักราย…”
ไม่ทราบว่าหมายถึงใคร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
หรือทั้ง ๒ คน
จริงครับกว่า “ป๋าเปรม” จะลงได้คือปีที่ ๘
และลงอย่างสง่าผ่าเผย ด้วยอมตวาจา “ผมพอแล้ว”
แต่วันนี้ ๒ ป.ยังไปต่อ
คำถามคือทั้ง ๒ ป.นี้มีสิทธิ์ที่จะไปต่อหรือไม่?
ตามระบอบประชาธิปไตย จะไปห้ามไม่ให้ใครไปสมัคร ส.ส. หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ เพราะกฎหมายเปิดโอกาสให้ หากมีคุณสมบัติครบถ้วน
ที่เป็นไม่ได้ก็จะมีแต่พวกโกงแล้วหนี โกงแล้วติดคุก พวกที่โกงแต่ยังจับไม่ได้ก็ระวังตัว สักวันต้องโดนเข้าจนได้
การเป็นนักการเมืองเต็มตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อประเทศไทย
“ป๋าเปรม” ประกาศว่า “ผมพอแล้ว” เพราะท่านไม่ประสงค์ เป็นนักการเมืองเต็มตัวด้วยการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ตลอด ๘ ปีในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ท่านได้รับการเทียบเชิญจากนักการเมือง เพราะนักการเมืองมองเห็นแล้วว่า ณ เวลานั้น คนที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดคือ “ป๋าเปรม”
เมื่อเวลาที่ต้องไปท่านก็ไป
และไปอย่างสง่างาม ให้คนรุ่นหลังได้ดูเป็นตัวอย่าง
แต่กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความประสงค์ที่ต่างออกไป
เป็นนักการเมืองเต็มตัว
ไม่ใช่นักการเมืองรับเชิญ
ถ้าบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรจะพอแล้ว ก็ต้องถามกลับว่าแล้วบรรดานักการเมืองที่เล่นการเมืองมาร่วม ๔๐-๕๐ ปี ต้องรู้จักพอด้วยหรือเปล่า
ผู้ที่จะตัดสินว่า พล.อ.ประยุทธ์สามารถเดินหน้าต่อได้หรือไม่คือประชาชน
ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ ส.ส.ไม่ถึง ๒๕ คน ก็แสดงว่า ประชาชนลงความเห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะยุติเส้นทางการเมือง ก็ว่ากันไป
เพราะเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย
ไม่ใช่ปากบอกประชาธิปไตย แต่ใจเผด็จการ
พิการซ้ำด้วยการเป็นสมุนคนโกง