รองผู้ว่าฯ วิศณุ แจงเหตุผลขอทบทวนการเดินเรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ และการนำสายสื่อสารลงดิน เน้นความคุ้มค่าและทางเลือกที่เหมาะสม

“วันนี้เป็นการนำข้อมูลมาชี้แจงและให้ข้อเท็จจริงในเรื่องของการเดินเรือไฟฟ้าในคลองผดุงกรุงเกษมและการจัดระเบียบสายสื่อสาร สำหรับเรื่องแรกเป็นเรื่องของการเดินเรือไฟฟ้าในคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2563 โดยสัญญาแรกจบเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา (2565) ใช้วงเงินงบประมาณทั้งหมด 106.2 ล้านบาท

มีการเดินเรือไฟฟ้าทั้งหมด 8 ลำ บนท่าเรือ 11 ท่า ประเด็นคือเราได้หยุดการให้บริการตั้งแต่ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 เป็นต้นมา

เพราะมีการพร่องน้ำในคลองผดุงฯ เพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์ฝนที่ตกลงมาและเตรียมการระบายน้ำ ทำให้ระดับน้ำในคลองผดุงฯ ไม่สามารถเดินเรือได้”

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในการแถลงข่าว เรื่อง การเดินเรือไฟฟ้าในคลองผดุงกรุงเกษม และการจัดระเบียบสายสื่อสาร ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง วันนี้ (4 ม.ค. 66)

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่วันนี้เรายังไม่ดำเนินการเดินเรือต่อ เนื่องจากข้อมูลจำนวนผู้โดยสารตั้งแต่เปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2563 อยู่ที่ 5,000 คน/เดือน แม้ช่วงปลายปี 2563 จะมีการจัดกิจกรรม และการออกร้านต่าง ๆ บริเวณคลองผดุงฯ ซึ่งทำให้มีผู้ใช้บริการสูงขึ้นมาแตะถึงประมาณ 20,000 คน/เดือน

แต่หลังจากนั้น ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้ผู้ใช้บริการลดลงมาอีก และหลังจากโควิดคลี่คลายลงในปีที่แล้ว ผู้โดยสารก็ค่อนข้างจะคงที่ เฉลี่ยประมาณวันละ 400 – 500 คน คิดเป็นเดือนได้ประมาณ 13,000 – 14,000 คน/เดือน

จากจำนวนผู้โดยสารต่อเดือน เมื่อเทียบกับค่าจ้างเดินเรือ 2.4 ล้านบาท/เดือน จะตกเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 171 บาท/คน จึงต้องพิจารณาว่า หากเราจะจ้างรูปแบบเดิมต่อไป แล้วต้องจ่ายค่าจ้าง 2.4 ล้านบาท ไม่รวมค่าซ่อมบำรุงเรือโดยสาร จะคุ้มหรือไม่ ค่าใช้จ่ายรายคนที่ต้องจ่ายนี้ เราจะมีทางเลือกอื่นไหม หรือสามารถปรับปรุงรูปแบบการให้บริการที่สอดคล้องกับ Demand หรือความต้องการใช้จริง ๆ ได้หรือไม่ จึงต้องการทบทวน แทนที่จะจ้างแบบเดิมต่อไป

เร่งทบทวนรูปแบบโครงการ เดินเรือคลองผดุงฯ คลองแสนแสบ และ BRT

“ที่จริงเรามีการเตรียมงบประมาณไว้ คือการของบประมาณในปี 66 เราตั้งงบแบบเดิมไว้แล้ว คือการจ้าง 5 ปี วงเงิน 140 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจ้างเดือนละ 2.4 ล้านบาท รวมค่าบำรุงรักษาด้วย โดยในแผนจะมีการประกวดราคาเพื่อหาผู้รับจ้างเดินเรือในช่วงเดือนเมษายน 2566 แต่ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จนถึงปัจจุบันจะเป็นการทบทวนรูปแบบการให้บริการพี่น้องประชาชนในเส้นทางนี้ว่าควรจะทำแบบไหนที่เหมาะสม

เช่น อาจจะมีรถ Feeder หรือใช้รถ EV Shuttle Bus เพราะลักษณะการใช้บริการของผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงเช้า 180 คน และช่วงเย็น 220 คนโดยประมาณ คือพีคในช่วงเข้าทำงานและหลังเลิกงาน ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ หากใช้รถ Shuttle Bus อาจจะถูกกว่า อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่ปิดช่องเรื่องเดินเรือ ก็ต้องดูรูปแบบการเดินเรือ

เช่น เดินเรือเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวเป็นแท็กซี่ตามความต้องการ (On-demand) ได้ไหม แทนที่จะวิ่งเรือเปล่าไปเรื่อย ๆ ซึ่งศูนย์เสียพลังงานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย โดยทั้งหมดนี้ เราไม่ได้ยุติโครงการ เพียงแต่กลับมาทบทวนรูปแบบการให้บริการที่คุ้มค่า และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อีกประการหนึ่งคือเราใช้เรือมา 3 ปี แบตเตอรี่จึงค่อนข้างเสื่อม เพราะฉะนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแบตฯ และปรับปรุงคุณภาพของเรือด้วย” รองผู้ว่าฯ วิศณุ กล่าว

ใช้เวลา 2-3 เดือนศึกษาพิจารณา 3 ทางเลือก

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในวันนี้เราเดินคู่ขนาน 3 ทาง

โดยทางที่ 1 คือ ดูรูปแบบ Feeder รูปแบบอื่น ว่าเทียบแล้วเป็นยังไง ศึกษาความเป็นไปได้ ดูเส้นทางประกอบกับพฤติกรรมต่าง ๆ

ทางที่ 2 คือ เปิดให้เอกชนที่สนใจมาเดินเรือในคลองผดุงฯ วันนี้ก็ทำ Market Sounding (รับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน) ถ้าเราเปิดมีใครสนใจไหม อาจจะทำเป็นเรือท่องเที่ยว เพราะเราส่งเสริมให้เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งถ้ามีคนสนใจ เราก็จะอาจจะเปิดให้เอกชนทำ

และทางที่ 3 คือ ทางเลือกแบบเดิม หมายถึงถ้าไม่มีคนสนใจ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐยังต้องให้บริการอยู่ ก็อาจจะเดินเรือต่อ แต่จะเดินเรือรูปแบบใด ความถี่ขนาดไหน จำนวนเรือเท่าไร จะต้องวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง

แต่หลังจากนี้จนถึงเดือนเมษายน 2566 อาจจะไม่มีการเดินเรือ หรืออาจจะจ้างเดินเรือชั่วคราว ขึ้นอยู่กับระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของเราด้วย ตอนนี้กำลังให้ศึกษาอยู่ว่างบประมาณที่เราเตรียมไว้ 140 ล้านบาท 5 ปี สามารถแบ่งส่วนหนึ่งมาจ้างชั่วคราวได้ไหม เพื่อบรรเทาผลกระทบและช่วยคนที่เดินทางเส้นนี้เป็นประจำอยู่

หรืออาจจะใช้ Feeder แทน ทั้งนี้ ก็ต้องให้สอดคล้องกับระเบียบจัดซื้อจัดจ้างว่าทำได้เร็วขนาดไหน โดยหากจะมีการเปิดประมูลฯ จะต้องเริ่มภายในเดือนนี้ เพราะการหาผู้ประกอบการในเดือนเมษายนนี้ ต้องใช้เวลา 2-3 เดือน สำหรับกระบวนการ e-bidding

ในส่วนที่มีข้อเสนอให้ กทม.จัดเก็บค่าโดยสารเรื่อไฟฟ้าได้ หากประชาชนยินดีจะเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเรืออาจจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า จากตัวเลขในวันนี้ เมื่อเอา 2.4 ล้านบาท หาร 30 วัน เท่ากับเราต้องเสียค่าใช้จ่ายวันละ 80,000 บาท ขนาดให้ใช้ฟรียังมีคนใช้แค่ 400 คน/วัน สมมุติเก็บคนละ 10 บาท ก็ได้แค่ 4,000 บาท/วัน ยังไงไม่มีทางคุ้มอยู่แล้ว

ฉะนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการในรูปแบบที่มีความเป็นไปได้ ยังไงกทม.ก็ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว เพียงแต่จะสนับสนุนอย่างไรให้คุ้มค่าเงินที่ลงไป ทั้งนี้ การให้บริการเดินเรือไฟฟ้าในคลองผดุงกรุงเกษมที่ผ่านมายังเป็นการให้บริการฟรีอยู่ เพราะระบบการจัดเก็บค่าโดยสารยังไม่คุ้มทุน คือเราอาจจะไปเสียเงินกับระบบการจัดเก็บค่าโดยสารมากกว่าค่าโดยสารที่ได้ หรือจากสัดส่วนแล้วอาจจะไม่ค่อยคุ้ม แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ เดี๋ยวจะต้องหารูปแบบการจัดเก็บที่เหมาะสมต่อไป

สำหรับกรณีเรือคลองแสนแสบ และ BRT ที่มีคนใช้น้อยนั้น รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า เรือคลองแสนแสบสัญญาจ้างจบเดือนกันยายน 2568 ยังมีเวลาอีกประมาณ 40 กว่าเดือน ระหว่างนี้ก็คงทบทวนหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ของผู้ใช้บริการ ส่วน BRT น่าจะหมดสัญญาเดือนสิงหาคมปีนี้ ก็ต้องทบทวนรูปแบบเช่นกัน เพราะได้รับ feedback มาจากผู้ดำเนินการว่าขาดทุนเยอะ ไม่คุ้ม และอาจจะไม่เดินต่อ

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องหารูปแบบการให้บริการรูปแบบอื่นที่ลดค่าใช้จ่ายลงได้ และทำให้โครงการเดินได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์รูปแบบการให้บริการ ดูเส้นทาง และความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องทบทวนแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้ เพราะการจะดำเนินการต่อเนื่องต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า

 

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับการนำสายสื่อสารลงดิน ซึ่งทางกทม.ได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคม หรือ KT เป็นผู้ดำเนินการ ตั้งแต่ 14 ธันวาคม 2561 นั้น ในระยะเวลา 4 ปี KT ดำเนินการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินแล้วเสร็จเป็นระยะทาง 9.9 กิโลเมตร ประกอบด้วย

1. ถนนวิทยุ (ถนนเพชรบุรี – แยกเพลินจิต) ระยะทาง 1.337 กิโลเมตร

2. ถนนรัชดาภิเษก (MRT ศูนย์วัฒนธรรม ประตู 3 – ซอยรัชดาภิเษก 7) ระยะทาง 2.060 กิโลเมตร

3. ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ (ถนนสาทรใต้ – ซอยนราธิวาสราชนครินทร์10) ระยะทาง 1.670 กิโลเมตร

4. ถนนวิทยุ (แยกเพลินจิต – แยกสารสิน) ระยะทาง 2.185 กิโลเมตร

5. ถนนพระราม 1 (แยกปทุมวัน – แยกราชประสงค์) ระยะทาง 2.150 กิโลเมตร และ

6. ถนนเจริญนคร (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี – สำนักงานเขตคลองสาน) ระยะทาง 0.500 กิโลเมตร

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายและไม่มีรายได้ตามที่ตั้งเป้าไว้

ปัญหาในการดำเนินการ คือ

1. รูปแบบการก่อสร้างใช้เงินลงทุนสูง

2. ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาดำเนินโครงการได้

เนื่องจากทุนจดทะเบียนของบริษัทเพียง 50 ล้านบาท ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และสถาบันการเงินต้องการเห็น MOU หรือสัญญาเช่าจากโอเปอร์เรเตอร์ (ธ.กรุงไทย อิสลาม เป็นต้น) และ

3. ไม่มีสภาพบังคับหรือกฎระเบียบที่ชัดเจนซึ่งกำหนดให้โอเปอร์เรเตอร์ต้องใช้ท่อร้อยสายใต้ดิน (ยังไม่มีผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ต้องการเช่าท่อร้อยสายสื่อสารของ KT ที่แน่นอน)

ซึ่ง KT ได้ลงทุนค่าก่อสร้างไปแล้ว 118,062,563.29 บาท ชำระแล้ว 11,041,196.00 บาท คงเหลือ 107,021,367.29 บาท กทม.จึงต้องมีการทบทวนการดำเนินการของ KT เนื่องจากรูปแบบธุรกิจไม่สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้

ซึ่งสอดคล้องกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้มีข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต และข้อทักท้วงหลายประเด็นถึงโครงการนำสายสื่อสารลงดินในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อกลางปี 2563

ทั้งนี้ การดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 การนำสายสื่อสารลงใต้ดิน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

โดยการนำสายสื่อสารลงใต้ดินจะดำเนินการคู่ขนานไปกับการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของ กฟน. ซึ่งปัจจุบัน กฟน. ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 62 กิโลเมตร จากเป้าหมาย 236.1 กิโลเมตร ที่จะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2570

และส่วนที่ 2 การจัดระเบียบสายสื่อสาร มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กฟน. และ กสทช. ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ 161.56 กิโลเมตร (37 เส้นทาง) และในปี 2566 จะดำเนินการอีก 442.62 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ 1,000 กิโลเมตร

“ในส่วนของท่อร้อยสายใต้ดินของ KT ที่ดำเนินการไปแล้ว กทม.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการช่วยประชาสัมพันธ์ให้โอเปอร์เรเตอร์มาเช่าท่อร้อยสายใต้ดินของ KT เพื่อบรรเทาปัญหา แต่โอเปอร์เรเตอร์เหล่านั้นมีท่ออยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมาเดินสายซ้ำอีกที

นี่จึงเป็นบทเรียนราคาแพงที่หน่วยงานภาครัฐต้องศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบคอบก่อนลงทุน การที่ลงทุนไปแล้วแต่ไม่ได้รายได้ตามเป้าหมายที่คาดไว้ก็จะเกิดปัญหาตามมา เนื่องจากสิ่งที่ก่อสร้างไปแล้วไม่สามารถแก้ไขหรือรื้อถอนได้ ” รองผู้ว่าฯ วิศณุ กล่าว

Written By
More from pp
ห่านคู่ ส่งคอลเลกชันล่าสุด ‘Misfit’ ปักหมุดแรกบนถนนสายแฟชั่นยั่งยืน! Sustainable Fashion สร้างสรรค์ความลงตัวที่งดงามของ ศิลปะ งานดีไซน์ และสิ่งแวดล้อม
ห่านคู่ ส่งคอลเลกชัน ‘Misfit’ พลังสร้างสรรค์ที่เหนือไปกว่าคำว่า แรงบันดาลใจ.. พาคุณ ก้าวข้ามไปสู่เรื่องราวของสไตล์ ทัศนคติ และคุณค่าของการใช้ชีวิต ในมุมมองแฟชั่นยั่งยืน (Sustainable Fashion)
Read More
0 replies on “รองผู้ว่าฯ วิศณุ แจงเหตุผลขอทบทวนการเดินเรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ และการนำสายสื่อสารลงดิน เน้นความคุ้มค่าและทางเลือกที่เหมาะสม”