พลเอก ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตอินเดีย ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศ พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างรอบด้าน ท่องเที่ยว การค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ให้เกิดผลสำเร็จเห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม

28 ธันวาคม 2565 เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยสรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

รองนายกรัฐมนตรียินดีกับเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตอินเดียฯ อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ อินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของไทย ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด และมีการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยรองนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันเพิ่มพูนความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ

เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ แม้มีภารกิจมาก สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทั้งสองประเทศที่มีอย่างยาวนานและมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง

ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอินเดียฯ เน้นย้ำว่า อินเดียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตามนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย และพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้าและพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกัน ดังนี้

ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงที่ใกล้ชิด และเห็นพ้องร่วมกันผลักดันความร่วมมือที่มีอยู่ให้มีผลเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งพิจารณาเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในรูปแบบใหม่ อาทิ ความมั่นคงทางทะเล อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการฝึกอบรมด้านความมั่นคงไซเบอร์

ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านการค้าที่ใกล้ชิด โดยอินเดียถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและอินเดียยังมีศักยภาพที่จะขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมทั้งเชิญชวนนักลงทุนอินเดียเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับความต้องการของไทย อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันให้นักลงทุนอินเดียขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น

ด้านการท่องเที่ยว อินเดียเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน โดยทั้งสองเห็นพ้องร่วมกันหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายให้มีจำนวนนักท่องเที่ยว จากอินเดียปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งทางเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ต้องการผลักดันให้อินเดียเป็นประเทศที่มาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง

ด้านวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดีย โดยทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามความตกลงโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร และเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยของทั้งสองประเทศ โดยอินเดียได้จัดตั้งสถาบันอินเดียศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายแห่งของไทย รวมถึงมีการจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและศาสนาระหว่างกัน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้ความร่วมมือระหว่างกันเป็นรูปธรรมมากขึ้น

สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ทั้งสองยินดีที่ไทยและอินเดียมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทั้งในกรอบ ASEAN และ BIMSTEC โดยเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยืนยันว่าอินเดียพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด BIMSTEC ของไทยในปี 2566 อย่างเต็มที่ พร้อมขอให้ไทยสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุม G20 ของอินเดียเช่นกัน

Written By
More from pp
‘ชลน่าน’ เย้ย ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ขึ้นอยู่กับ ปชช.จะให้อยู่ต่อหรือไม่
‘ชลน่าน’ ยัน ยังไม่คุย ‘สมศักดิ์’ เข้าพรรค เย้ยสโลแกนประยุทธ์ ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ขึ้นอยู่กับ ปชช.จะให้อยู่ต่อหรือไม่
Read More
0 replies on “พลเอก ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตอินเดีย ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศ พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างรอบด้าน ท่องเที่ยว การค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ให้เกิดผลสำเร็จเห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม”