เปลว สีเงิน
นับจากข่าว ๑๓ หมูป่าติดถ้ำแล้ว
อดีตตำรวจบุกศูนย์เด็กเล็ก กราดยิง ๓๘ ศพ ที่หนองบัวลำภู เมื่อ ๖ ตุลา.๖๕
นับเป็นข่าว “ช็อกโลก” อีกครั้ง!
ต่างเพียงว่า ๑๓ หมูป่า เป็นข่าว “ลุ้นระทึก” และจบแบบ มีความสุขทั้งโลก
แต่ครั้งนี้ เป็น “โศกนาฎกรรม” ที่คนทั้งโลก โศกสลด
หลายประเทศ เช่น สหรัฐ, จีน, อังกฤษ ออสเตรเลีย และฯลฯ ออกแถลงการณ์….
“สะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทย และแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต ตลอดถึงครอบครัวผู้สูญเสีย”
สำหรับในประเทศไทย…..
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี”
นอกจากทรงรับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทั้งหมดไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ในทันทีแล้ว
ยังเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้สูญเสียถึงโรงพยาบาลหนองบัวลำภู เย็นวาน (๗ ตค.)
เป็น “พระมหากรุณาธิคุณ” ต่อพสกนิกรผู้สูญเสีย สุดหาคำใดเปรียบ
เมื่อทุกคนทราบข่าวการเสด็จฯ ใจที่เหี่ยวแห้ง พลันอุ่นระอุอก
“พระเจ้าแผ่นดิน ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชนของพระองค์จริงๆ ด้วย”
ทั่วทั้งขอบเขตขัณฑสีมาประเทศ…..
ไม่ว่าพสกนิกรจะอยู่ถิ่นฐานไหน ใกล้-ไกล ไม่มีเลย ที่จะหลุดลอดจากพระเนตรที่ทรงสอดส่อง ดูแลสุข-ทุกข์และความเป็นไปของเหล่าพสกนิกร
คราใด พสกนิกรประสบทุกข์โศก….
ครานั้น พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองค์ ดังหัตถาแห่งฟ้าครองดิน ยื่นมาโอบอุ้ม คุ้มประคอง ปาดน้ำตาที่นองหน้า ให้เหือดแห้ง มีพลังสู้ สู่แสงแห่งชีวิตใหม่!
การฆ่ากัน มีทุกวัน และมีทุกที่
แต่การที่จะเป็นใครก็ตาม จะไประบายแค้น-ระบายเครียดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก ซึ่งเรียกว่า “ยังไร้เดียงสา”
ถึงขั้นจงใจเข้าไปกราดยิงถึงในศูนย์ฯ จนเด็กเล็กเสียชีวิตขณะนอนหลับ ทีเดียวตั้ง ๓๐ กว่าคนนั้น
เป็นเหตุการณ์ไม่เคยปรากฎในเมืองไทย
มีปรากฎบ่อยครั้งถึงขั้นเรียกว่า “เป็นข่าวจำเจ” ในสหรัฐฯจนกลายเป็น “เรื่องธรรมดา” สำหรับสังคมอเมริกันชนไปทุกวันนี้
ก็ไม่มีใครคาด ว่าเหตุทำนองนั้น จะเป็นตัวอย่างให้เกิดการเลียนแบบขึ้นได้ในเชิงลักษณะสังคมไทย
แต่เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก …….
เราไม่ควรใช้แค่ “สัญชาตญาน” คับแคบด้วยอคติ สรุปเหตุทันทีว่า
นี่…เพราะปล่อย “ยาเสพติด” ท่วมเมือง
นี่…เพราะเข้มงวดชาวบ้าน แต่หย่อนยานเรื่องอาวุธปืนกับ “ตำรวจ-ทหาร”
และนักการเมือง ก็ลากเข้า “การเมือง” เรื่องด่ารัฐบาล
นี่…เพราะนายกฯ ประยุทธ์คนเดียว!
แล้วก็ฉวยโอกาส ตั้งญัตติ “ขอเปิดสภา” สมัยวิสามัญ เพื่อจิกกระบาลลากเข้าไปตบซ้าย-ตบขวา “ด่าฟรี”
ชนิดมี “สิทธิทางสภา” คุ้มหัว!
ส่วน “แนวร่วม” นอกสภา โอกาสอย่างนี้ จะพลาดจิตอัปรีย์ไปได้อย่างไร….
จึงไม่แปลก ที่จะขมีขมันสมทบ เป็นม็อบ “แดง-ส้ม” ไล่ถล่มรัฐบาล ลากไปจิกฟัดกัดต่อในถนน!
เรื่องความคิดเห็นแต่ละบุคคล “ไม่มีผิด-มีถูก” และเป็นสิทธิ์
แต่การแสดงออก คือการกระทำ ทางกาย-ทางวาจา
ผมว่า ในยามนี้ ขอพวกเราทั้งหลาย จงเก็บความชิงชัง-คลั่งแค้นรัฐบาลและนายกฯ ไว้ชั่วคราวก่อนได้ไหม?
และค่อยๆ ใช้สามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน แยกการสังหารหมู่เด็ก กับการเมืองเรื่องแย่งชิงอำนาจ “ออกจากกัน” ก่อน
เพราะมันทั้งเร็วและลวกๆ มากไป ที่จะปุบปับ สรุปกันแบบนั้น
แบ่งห้วงเวลาให้ถูกกาลเทศะ น่าจะถูกต้องกว่า
ยามประเทศไทยมี “ทุกข์ร่วม” ในความเป็นโศกนาฎกรรม ชาวโลกเขายังรวมใจส่งเป็นเยื่อใยมารองรับความบอบช้ำจิต
แล้วพวกเรา “ไทยด้วยกัน” มิใช่หรือ?
จริงอยู่ แม้เด็กๆ เหล่านั้น มิใช่ญาติพี่น้องโดยตรง แต่ด้วยไทยร่วมแผ่นดินเดียวกัน
เราจะอดออมความโกรธ-เกลียดส่วนตัวกับรัฐบาลไว้ชั่วคราว แล้วแสดงความเป็นพี่น้องไทย “หัวอกเดียวกัน”
หลอมรวม “ความเสียใจ” เป็น “พลังรัก” แล้วส่งเป็น “กำลังใจ” ไปให้บรรดาญาติที่สูญเสียลูกหลาน-พี่น้องทั้ง ๓๘ ชีวิตนั้นร่วมกันก่อน ไม่ดีกว่าหรือ?
ความจริงนั้น ถึงไม่ต้องไล่ อีกไม่กี่เดือน รัฐบาลก็ครบวาระ ต้องพ้นสภาพ สู่การเลือกตั้งกันใหม่อยู่แล้ว
นายกฯ ประยุทธ์นั้น ไม่ต้องไล่ ก็ต้องพ้นไปอยู่ดี
ยามนี้ พี่น้องประชาชนก็สารพัดทุกข์ สารพัดปัญหารุมเร้าอยู่แล้ว
ฝ่ายค้านนั้น ไม่อยากถามว่า ……
ตลอด ๔ ปีที่ผ่านมา เคยทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติ-ประชาชนบ้าง นอกจากหมกมุ่นไล่รัฐบาล แก้กฎหมายเพื่อกู เพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน และสร้างปัญหาให้บ้านเมืองมาตลอด
แต่เพียงจะขอว่า…….
ใช้เวลาที่เหลือ ๔-๕ เดือนก่อนเลือกตั้งนี้ ใช้คำว่า “ผม…ประชาชนเลือกมา”
“สงวนรัก สมานสามัคคี” ให้ประชาชนได้สบายใจบ้าง ด้วยการ “สงบกาย-สงบวาจา” ในช่วงที่ “ทุกคน” หม่นเศร้า ซักช่วงหนึ่งได้ไหม?
เหตุนำไปสู่การสังหารหมู่เด็กนั้น
มันไม่เพียงยาเสพติด ไม่เพียงปล่อยให้ตำรวจ-ทหารพกปืนกันเกร่อ ไม่เพียงเพราะเครียดถูกไล่ออกจากราชการ ไม่มีงานทำแค่นั้น
และไม่เพราะรัฐบาล ที่มี “พลเอกประยุทธ์” เป็นนายกฯ เป็นสาเหตุหรอก
สังคมโลกทุกวันนี้ มันซับซ้อนและสับสนระหว่างคนกับ และสัตว์จนยากแยก
และเราเรียกกันว่า “สังคมรุ่นใหม่”!
ไม่เพียงสังคมไทยใต้โลกวัตถุนิยมหรือทุนนิยมเท่านั้น มนุษย์ใต้โลกวัตถุทุกชาติ พฤติกรรมเพี้ยนเปลี่ยนไปเหมือนกันหมด
“ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร” อาจารย์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ เขาสอนคนรุ่นใหม่ ว่า….
“……..ความคิดทางศาสนาเป็นความคิดที่ขัดขวางการคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์และการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆ มันมีลักษณะในการหยุดความคิดไว้
ทำให้ผมคิดว่า สองสิ่งนี้ ไปกันไม่ได้
ศาสนามักอ้างความคิดสูงสุดและไร้ขอบเขตของความรู้ทั้งๆ ที่ตัวมันเองมีข้อจำกัดมากมาย
ความคิดเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อาจไม่ได้แย่เท่าศาสนาด้วยซ้ำ
เพราะศาสนาใหญ่ๆ ในโลก มักอ้างความเป็นสากลที่เหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น
ผียังต้องมาไหว้พระพุทธเจ้า ถ้าคุณเป็นพระ ผีต้องกลัว ถ้าเราไปเชื่อความเหนือกว่าตรงนั้น ก็จะทำให้เราไม่สามารถคิดพัฒนาศักยภาพอะไรใหม่ๆได้อีกต่อไป
เพราะ “ศาสนาพุทธ” มักจะบอกว่า ทุกอย่างอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว หรือพระพุทธเจ้า รู้แจ้ง รู้สิ้น หมดแล้ว
ฉะนั้น ใครที่ศรัทธาศาสนามากๆ แล้วมาเรียนกับผม ผมก็จะบอกว่า….
เลิกเรียนเสียเถอะ แล้วก็ไปบวชซะ เพราะคุณรู้หมดแล้ว หรือคุณไปหาความรู้ที่มันตอบได้ทุกอย่างดีกว่า”
แล้วนี่ เราไม่นำมาคิดวิเคราะห์กันด้วยหรือว่า…….
ที่สังหารหมู่เด็กนั้น นอกจากปัญหายาเสพติด ปัญหาหละหลวมการปกครองตำรวจ-ทหาร ปัญหารัฐบาลละเลยต่อการปราบปรามแล้ว
การสอนนักศึกษาจากมนุษย์ไปสู่ความเป็นสัตว์ในร่างมนุษย์ของอาจารย์มหา’ลัย ดังเช่น ผศ.ดร.ยุกติ ผู้นี้สอน จะเป็นอีกหนึ่งในร้อยปัญหาสังคมรวม
ที่ถมทับมนุษย์ระบบทาสวัตถุจนเบ่งบานสู่ความเป็นสังคม “คนรุ่นใหม่” วันนี้?
เราอย่าเป็น “สังคมมักง่าย” ขนาดนั้นเลย
อะไรดี ก็ยุครัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ทำไว้ อะไรไม่ดี ก็เหมารวมว่า เพราะประยุทธ์!?
พูดแบบนั้น มันพูดได้
แต่คำพูดนั้น จะบ่งบอกตัวตนว่า ผู้พูดเป็นวิญญูชน หรือสถุลชน?
ฝ่ายค้าน ฉวยโอกาสขอเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อด่ารัฐบาลหาเสียงนั้น
อย่าเลย…….
เปิดที ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร เป็นล้านๆ อยากจะด่า ก็ตั้งเวทีด่า “นอกสภา” ได้
เอาเงินล้าน “ค่าน้ำ-ค่าไฟ” นั้น
ไปซื้ออาหารเลี้ยงหมา ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งประโยชน์มากกว่า ขอบอก
เปลว สีเงิน
๘ ตุลาคม ๒๕๖๕