นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๕๐ น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงในส่วนของการเปรียบเทียบงบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคม มีสมาชิกกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงเกินไป และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นของประชาชน
ถ้าดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่า รัฐบาลมีหลายโครงการที่เป็นพันธกิจโดยตรงของทุกหน่วยงาน และมีงบในการบูรณาการ และหากมีความจำเป็นก็สามารถใช้งบกลางไปเพิ่มเติมได้ หรือแม้แต่งบประมาณที่ผ่านวาระที่ ๑ ในวันนี้แล้ว ก็สามารถไปแปลญัตติเข้าไปในขั้นกรรมาธิการเพื่อแปลญัตติ และงบประมาณที่ถูกตีตกทั้งหมดจะกลับมาที่รัฐบาลตามกฎหมาย พ.ร.บ. งบประมาณ ดังนั้น รัฐบาลก็จะพิจารณาที่มีการขอมา ส่วนที่ยังคงขาด ซึ่งครม. จะเป็นผู้อนุมัติ
ในส่วนงบประมาณปี ๒๕๖๖ รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กในวัยเรียน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล โดยหากพิจารณาในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเพื่อสวัสดิการต่าง ๆ ในงบประมาณปี ๒๕๕๗ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๔๙,๕๗๙.๕๕๘๘ ล้านบาท แต่หากพิจารณาข้อเสนอในงบประมาณปี ๒๕๖๖ จะเห็นว่ามีงบประมาณสูงขึ้นถึง ๖๓๒,๕๘๒.๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจากปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ถึงปัจจุบัน มีงบประมาณเพิ่มขึ้น ๑๘๓,๐๐๒.๔๔๑๒ ล้านบาท โดยจำแนกดังนี้
๑. กลุ่มเด็กเล็ก รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กแรกเกิด จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเบี้ยเด็กแรกเกิด (๐-๖ ปี) ตั้งแต่ ๒๕๕๙ เป็นต้นมา สนับสนุนให้เดือนละ ๖๐๐ บาท สำหรับครัวเรือนที่บิดามารดามีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๑๖,๓๒๑ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๒.๕๘ ล้านคน
๒. กลุ่มเด็กวัยเรียน รัฐบาลได้จัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๕ ปี ตั้งแต่อนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๗๙,๑๕๑ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๑๐.๗๗ ล้านคน รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นมา เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและยากจนพิเศษให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๖,๐๗๓ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๒.๖๒2.62 ล้านคน
๓. กลุ่มผู้สูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นจากการที่ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยมีการสนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุช่วง ๖๐-๖๙ ปี จำนวน ๖๐๐ บาท/คน/เดือน ช่วง ๗๐-๗๙ ปี จำนวน ๗๐๐ บาท/คน/เดือน ช่วง ๘๐-๘๙ ปี จำนวน ๘๐๐ บาท/คน/เดือน และช่วง ๙๐ ปีขึ้นไป จำนวน ๑,๐๐๐ บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๘๗,๕๘๐ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๑๑.๐๓ ล้านคน ซึ่งสูงกว่างบประมาณปี ๒๕๕๗ ถึง ๒๖,๕๘๐.๒ ล้านบาท ตลอดจนการเพิ่มเป้าหมายในการปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ ให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๒๒๕ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๑๐,๐๐๐ หลัง
๔. กลุ่มผู้ด้อยโอกาส รับบาลได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดค่าก๊าซหุงต้มผ่านบัตรสวัสดิการ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๓๕,๕๑๕ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๑๓.๔๕ ล้านคน รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านพอเพียงในชนบท โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๕๖๓ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๒๕,๐๐๐ ครัวเรือน ปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัด บ้านมั่นคง ตั้งงบประมาณไว้ ๓๓๗ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๓,๗๕๐ ครัวเรือน
สำหรับกลุ่มผู้พิการ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ รัฐบาลได้เพิ่มเบี้ยยังชีพความพิการ จาก ๘00 บาท/คน/เดือน เป็น ๑,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๒๐,๓๓๙ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๒.๐๙ ล้านคน
๕. กลุ่มสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบประกันสังคม โดยเฉพาะลูกจ้างแรงงานให้เข้าถึงระบบประกันสังคม โดยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๕๐ เป็นร้อยละ ๗๐ ของค่าจ้าง เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ให้ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้าง จาก ๙๐ วัน เป็น ๙๘ วัน โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๔๘,๕๑๔ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๒๓.๓๔ ล้านคน ซึ่งในปี ๒๕๕๗ มีเพียง ๑๒.๓๑ ล้านคน รวมถึงได้ดูแลอสม. หมอประจำบ้าน สำหรับสนุนค่าป่วยการ การดูแลศักยภาพ ให้ดูแลสุขภาพตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยได้ปรับเงินค่าตอบแทนจาก ๘๐๐ บาท/คน/เดือน เป็น ๑,๐๐๐ บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี ๒๕๖๖ ตั้งไว้ ๑๒,๖๑๔ ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน ๑.๐๕ ล้านคน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภายใต้งบประมาณที่จำกัด รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลประชาชนตามช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงสวัสดิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการสังคมและจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หากบูรณาการการทำงานได้ก็จักร่วมกันทำงาน ทั้งสนับสนุนภารกิจทั้งหมด เพราะนายกฯ ห่วงใยประชาชนทุกคน
ในเรื่องความมั่นคง กระทรวงกลาโหมต้องการใช้งบประมาณจำกัด เพื่อเกิดความพร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่มีใครรับประกันสถานการณ์ในอนาคตได้ ตอนนี้อาเซียนยังเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่างเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา งบประมาณที่วางไว้จึงกำหนดตามความจำเป็น แต่ขอความเห็นใจว่า งบประมาณต้องกำหนดล่วงหน้า เช่นเดียวกับการดำเนินการจัดการซื้ออาวุธ ต้องมีการฝึกการใช้อาวุธ ต้องใช้เวลาในการจัดซื้อพอสมควร
ขอความเข้าใจว่าเราจำเป็นต้องซื้อเพื่อต่อระยะสายตา เพราะไม่สามารถซื้อแบบกะทันหันได้ หากติดตามดูจะเข้าใจ ว่าประเทศไทยไม่ได้รับความช่วยเหลือมาระยะหนึ่งแล้ว เราต้องพึ่งการป้องกันตัวเอง ซื้อเท่าที่จำเป็น ในส่วนของการทุจริต มีผลประโยชน์ พร้อมมีการตรวจสอบ เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ชี้แจงได้ พร้อมได้รับการตรวจสอบ ขอให้ทำความเข้าใจการปฏิบัติ โดยนายกฯ พร้อมทำความเข้าใจ ไม่ได้โทษใคร ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ก็ทำงานในการให้ความปลอดภัยทุกคน ขออย่าทำลายขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง