๒ มิถุนายน ๒๕๖๕-น.ส.วทันยา บุนนาค ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๓.๑๘๕ ล้านบาทว่า ขณะที่เรากำลังพิจารณาร่างงบนี้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและความท้าทายปัญหาที่โลกกำลังเจอคือจะใช้ยุทธศาสตร์อะไรในการผลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ต้องยอมรับว่า วิกฤตโควิด19 ทำให้ภูมิทัศน์และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่ ยุคของ gig economy “ โดยหนึ่งในนโนบายช่วงหลังที่มีการพูดถึงบ่อยครั้งจนติดปากคือ Soft Power เข้ามาผลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญ เรามียุทธ์ศษสตร์และเป้าหมาย แผนการทำงานที่เป็นรูปธรรมอย่างไรเพื่อให้เกิดการแข่งขันขึ้นจริง
หลังจากที่ตนได้ศึกษางบปี ๖๖ ตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานเรื่องซอฟพาวเว่อร์ของภาครัฐแบบต่างกระทรวง ต่างคนต่างทำ การใช้งบประจัดกระจาย ส่วนใหย๋ใช้ไปรูปแบบจัดกิจกรรมหรือ Event Base คือไม่มีแผนต่อเนื่องในระยะยาว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีแผนการทำงานที่ชัดเจนว่าเรากำลังจะทำอะไรทำอย่างไร และทำเพื่ออะไร ตนจึงขอนำเสนอภาครัฐให้พิจารณาทบทวนการใช้งบประมาณ ในการสร้างเศรษฐกิจด้วย Soft Power โดยแบ่งออกเป็น ๓ ประเด็นหลักคือ
๑ .เราต้องทำความเข้าใจคำว่า “SoftPower”ให้ถูกต้องตรงกันก่อน เพราะหากเข้าใจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน เราจะจัดแผนนโยบาย และกำหนดวางยุทธศาสตร์ เป้าหมายคลาดเคลื่อนไปด้วย ซึ่ง Soft Power แปลตรงตัวหมายถึง “อำนาจละมุนละม่อม ” ในการที่จะส่งอิทธิ หากจะสร้าง Soft Power ขึ้นมาใหม่ ก็อาจจะพูดได้ว่า “ตัวแทนของสื่อ หรือกระบวนการสื่อสารที่สามารถส่งอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนคติอื่น”
ซึ่งหนึ่งในอาวุธสำคัญที่จะผลักดัน Soft Power ของคนไทยเพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมไทยให้กลายเป็นสินค้านำส่งสายตาคนทั่วโลก หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาดก็คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อ ศิลปะ และบังเทิงที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและหลากหลายที่สด ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทุกประเทศใช้ความสำคัญในการสร้างตลาดให้กับคนเอง
“เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเรามีประเด็นโด่งดัง คือกรณีนักร้องหญิง ‘มิลลิ’ กินข้าวเหนียวมะม่วงบนเวที Coachella การกินครั้งเดียวได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ Soft Power ให้กับคนไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ คนที่ได้อานิสงค์คือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมะม่วง ชาวนาที่ปลูกข้าว หรือร้านขายข้าวเหนียวมะม่ว หากเรามีแบบนี้ ๑๐ คน ๕๐ คน ไปพูดถึงสินค้าต่างๆ อัตลักษณ์ของประเทศ เหมือนที่วันนี้เราซื้อเหล้าโซจูในร้านสะดวกซื้อ เพราะตัวละครในซีรีย์เกาหลีทุกเรื่องต้องดื่มโซจู หรือร้านอาหารเกาหลี บะหมี่กึ่งสำเร็จ เมนูยอดฮิตของคนไทยก็ถูดตีตลาดด้วยรามยอน”
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การจะผลักดัน Soft Power ไทยให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม จุดเริ่มต้นสำคัญคือ รัฐต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับสื่อ ศิลปะและบันเทิงให้มีความเข้มแข็งเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการสร้างสรรค์ผลงานที่ต้องใช้ความชำนาญ พรสวรรค์เฉพาะด้าน เช่น การสร้างนักร้องศิลปิน การสร้างงานเพลง ภาพยนตร์ ซีรีย์ การออกแบบกราฟฟิกดีไซน์ จะเกิดขึ้นได้ยากเพราะขาดต้นทุนทางด้านบุคลากร เงินทุนในการสร้างสรรค์ผลงาน และขาดตลาดที่จะแข่งขันเพื่อพัฒนาคุณภาพ
๒. การกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนเพื่อโฟกัสการทำงาน และ จัดทำแผนระยะยาวเพื่อไปสู่เป้าหมาย ได้สำเร็จยกตัวอย่างการจัดตั้ง Korean Film Council หรือ Kofic พร้อมการจัดตั้งกองทุนของเกาหลี ซึ่งเป็นการประกาศวิสัยทัศน์ให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐ พร้อมกับกำหนดบทบาทความรับผิดชอบที่ชัดเจนไม่ให้เกิดความสับสน คือให้ Kofic ดูแลแผนงานและสนับสนุนเงินทุนให้เอกชนเพื่อนำไปสร้างผลงานคุณภาพ ให้อุตสาหกรรมนี้มีความเติบโตยิ่งขึ้น พร้อมกับการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อป้อนคนมีความรู้ความสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม
แต่อุตสาหกรรมบันเทิงไทย ทุกวันนี้งบการเงินบริษัทเอกชน แค่ดูจากกราฟก็เห็นได้ว่ารายได้มีแนวโน้มลดต่ำลง และอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากเพราะต้องต่อสู้กับวิกฤตดิจิทัลดิสรับที่เกิดขึ้น ในช่วง10 ปีที่ผ่านมาผลงานของไทยอยู่ในลักษระมูฟออนเป็นวงกลม คือย่ำอยู่กับที่ และเมื่อเราประกาศเรื่องซอฟพาวเว่อร์ก็ไม่มีหน่วยงานมารับผิดชอบที่ชัดเจน ที่ดูน่าจะเกี่ยวข้องที่สุดคือกระทรวงวัฒนธรรม แต่เท่าที่ดูงบประมาณก็เกิดคำถามว่างานที่เกิดขึ้นในกระทรวงนี้จะผลักดันให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
และ
๓. การสนับสนุนเงินทุนที่จะสร้างเอกชนให้เข้มแข็งในการนำไปใช้พัฒนาคุณภาพงาน และพัฒนาบุคลากร จากที่ดูงบกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน ๖,๗๔๗ ล้านบาท หากจำแนกแยกย่อยออกมาเป็นหน่วยงานภายในสังกัด เช่น กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรมและรวมถึงกองทุนต่างๆ จะเห็นว่างบประมาณกว่า ๙๐ เปอร์เซนต์ ถูกนำไปใช้ในเชิงรักษาอนุรักษ์วัฒนธรรม ศิลปะเดิมของประเทศ แต่เกือบงบประมาณที่จะนำใช้เพื่อต่อยอดในอนาคตกลับมีน้อยมาก โครงการทั้งหมดภายใต้กระทรวงวัฒนธรรมมีเพียงโครงการเดียวที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power มากที่สุดคือ
“โครงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรม ภาพยนตร์และวีดีทัศน์” มีจำนวน ๔๐ ล้านบาท เท่านั้น คงไม่ต้องพูดว่าภารกิจอันใหญ่หลวงความหวังของคนไทยในการปั้นเศรษฐกิจ และการสร้างสรรค์นี้ คงไม่ต้องพูดถึงความเหมาะสมว่างบแค่นี้จะทำสำเร็จได้อย่างไร
อย่างไรก้ตาม ตนเข้าใจว่าทุกวันนี้รัฐก็มีภาระใหญ่ในการดูแลประชาชนหลังจากวิกฤตโควิด การใช้งบต้องรอบคอบ แต่เรายังมีเงินกองทึนอยู่จำนวนมาก ที่นำมาพัฒนาและผลักดันอุตสาหกรรมนี้ได้ คือ”งบกองทุนสื่อสร้างสรรค์” ที่ทุกวันนี้มีงบบประมาณเฉลี่ยปีละ ๖๐๐ ล้านบาท และกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ(กทปส.) ของ กสทช. ที่เอกชนส่งรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ๒.๕% ให้ กสทช.ทุกปี กองทุนนี้มีเงินทุน ณ สิ้นปี ๖๔ อยู่ที่ ๖๔,๓๗๖ ล้านบาท
โดยเงินจำนวนมากเหล่านี้ถูกเก็บไว้ไม่ได้นำออกมาใช้ในการเสริมสร้างศักภาพของประเทศให้เกิดการพัฒนาขับเคลื่อน และงบที่ขอเข้าไปในกงอทุนนี้ยังถูกนำไปใช้อย่างกระจัดกระจาย จึงไม่สามารถเห้นผลที่ชัดเจนได้เลยจึงเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หากเรานำเงินของกระทรวงวัฒนธรรม และกองทุนสื่อเหล่านี้ และงบจัดอีเว้นจ์ของกระทรวงต่างๆมารวมกัน เราจะมีงบมากพอที่จะปักหลักยุทธ์ศษสตร์เพื่อผลักดัน Soft Power ของไทยให้เสร็จได้
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์เรื่อง Soft Power ที่ตนยกมาเป็นเพียงตัวอย่างข้อเสนอให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาถึงการปรับแผนการทำงานเพื่อรองรับกับความผันผวนและความท้าทายโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอีกหลายๆเรื่องเช่นปัญหาสิ่งแวดล้อม การเข้าสู่สังคมชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันนวัตกรรม ปัญหาดิจิทัลดิสรัปชั่น และการมาถึงโลกเมตาเวิร์สที่เกิดขึ้นแล้ว และจะมีอิทธิพลต่อชีวิตเราในอีกไม่ช้า แต่เรายังไม่มีแผนงานใดรับมือ
แม้วันนี้เราจะมีวิกฤตวิด19 ให้ต้องแก้ไข รัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากในการดูแลประชาชน แต่เมื่อเราพบว่ามีเงินมากเพียงพอ เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด และการทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ระยะยาวและมีแผนปฏิบัติจริง เปลี่ยนรัฐจากที่เป็นผู้ลงมือทำเอง มาเป็นผู้สนับสนุนให้เอกชนมีความเข้มแข็ง เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพและส่งต่อโอกาสในสังคมได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จเหมือนที่รัฐบาลตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน