31 มกราคม 2565 ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงสาธาณสุข ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 บริการแก่เด็กอายุ 5 – 11 ปี สำหรับเด็กป่วยกลุ่มเสี่ยง ต่อความรุนแรงของโรค ระหว่างตรวจเยี่ยม นายอนุทิน กล่าวว่า
ประเทศไทยได้เริ่มการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางกระทรวงสาธารณสุขรอมานาน เรารอให้มีวัคซีนเด็ก รอให้ทางบริษัทวัคซีนนำวัคซีนมาขึ้นทะเบียน กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับรองวัคซีน มีการทำสัญญาจัดหา
โดยที่วัคซีนจะเข้ามาสัปดาห์ละประมาน 3 แสนโดส ไทยสั่งไปทั้งหมด 10 ล้านโดส ตามสัญญา จะ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนที่วัคซีนจะเข้ามาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เราต้องการได้วัคซีนครบในระยะเวลาที่เร็วขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้หารือกับผู้บริหารไฟเซอร์ เนื่องจากมีการประชุมหอการค้าไทย-อเมริกา ได้ร้องขอในที่ประชุมไปแล้ว ทางบริษัทไฟเซอร์ได้ตอบรับยินดีที่จะดำเนินการให้ โดยน่าจะร่นระยะเวลาได้ 1 เดือน
ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งให้บริการวัคซีนให้ได้ตามเป้า นอกจากนี้ เพิ่งได้รับรายงานจากกรมควบคุมโรค ว่า วัคซีนสำหรับเด็ก 3 ขวบของซิโนแวค เพิ่งทำการยื่นจดทะเบียน หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เมื่อทาง อย.ขึ้นทะเบียนให้แล้ว จะพิจารณาเรื่องการให้บริการทันที หวังว่าประเทศไทยจะเป็นกลุ่มประเทศแรกๆ ที่สามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมให้กับประชากรทุกช่วงวัย
สำหรับการฉีดวัคซีนแก่เด็กนั้น ต้องผ่านการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ซึ่งวัคซีนที่นำมาให้บริการมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย มีมาตรฐาน การให้บริการ ผ่านการพิจารณามาจากคณะกรรมการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ขอให้มั่นใจในกระบวนการของระบบสาธารณสุขไทย
สำหรับวัคซีนเข็มที่ 3 ที่กำลังให้บริการ เราเร่งฉีดตามหลักการแพทย์ ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม ครบ 3 เดือน ให้ติดต่อขอรับเข็ม 3 ได้เลย ปัจจุบันนี้ สถานีขนส่งตามจังหวัดต่างๆ ก็เปิดจุบริการแล้ว การรับบริการในปัจจุบัน สะดวกกว่าในอดีตมาก ที่สำคัญ วัคซีน ที่ไทยนำมาฉีด ช่วยป้องกันการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย