ชาลี..กวีผู้มีทำนอง-สันต์ สะตอแมน

ผสมโรง

สันต์ สะตอแมน

ไปร่วมส่งดวงวิญญาณครูชาลี อินทรวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ สู่สรวงสวรรค์

            หัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ คุณพรพิมล มั่นฤทัย สตรีแกร่งบอสใหญ่ค่ายโคลีเซียม ได้ทำหน้าที่ให้คนใน-นอกวงการบันเทิงได้ประจักษ์ถึงความเป็น “ผู้มีความกตัญญูกตเวที” ได้อย่างน่ายินดี-ชื่นใจยิ่ง

            เสียดาย..ศิลปิน ดารา นักร้อง และผู้เกี่ยวข้องในวงการเข้าร่วมพิธีบางตาไปหน่อย ซึ่งก็เข้าใจได้กับสถานการณ์ ที่ต่างก็ต้องดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเจ้าโอมิครอน..

            ยิ่งคนเก่า-คนแก่ทั้งมิตรสหาย-ลูกศิษย์ลูกหาด้วยแล้ว แม้ใจอยากไปเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย แต่อีกใจก็ไม่อยากขัดลูกๆหลานๆ เลยจำนอนอยู่กับบ้านเพื่อความปลอดภัย เข้าใจว่าอย่างนั้น!

            กระนั้น..แขกที่ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพเท่าที่กวาดตามอง ดูจะเป็นระดับผู้อาวุโส 70 ปีขึ้นเสียส่วนใหญ่ แต่จะมีใครบ้างนั้น ถ้าจะนำมาบรรยาย-บอกเล่ากันตรงนี้ เห็นที่เนื้อที่จะไม่พอ

            อย่างไรก็ตาม นามหนึ่งที่ต้องเอ่ยคือ “คุณเพชรา เชาวราษฎร์” ศิลปินแห่งชาติ อดีตนางเอกฉายา “นัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง” แม้ปัจจุบันดวงตาสองข้างจะมืดมิด..

ท่านก็ยังควง (จูง) แขนสามี คุณชรินทร์ นันทนาคร ไปร่วมส่งดวงวิญญาณครูชาลี ผู้ที่แต่งเพลง “หยาดเพชร” ให้ทั้งสองได้รักและครองเรือนกันมายาวนานตราบวันนี้

และจากหนังสือรวมชีวประวัติ-ผลงานครูชาลีเล่มหนาที่มอบเป็นของชำร่วย คุณชรินทร์ได้เขียนถึงครูว่าอย่างนี้ครับ

ชาลี..กวีผู้มีทำนอง

เดิมเขาชื่อ “สง่า อินทรวิจิตร” รูปร่างหน้าตาสง่างาม เป็นดาราละครและใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องเหมือน “สถาพร มุกดาประกร” หรือ “สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์”

แต่จนแล้วจนรอด เขาก็เป็นดาราธรรมดาที่โชว์หุ่นอันสง่างามเท่านั้น

พอละครเวทีรูดฉากปิดสนิทสิ้นชีวิตไปจากวงการบันเทิงไทยใครจะนึกว่า “สง่า” จะกลายมาเป็น “ชาลี อินทรวิจิตร” นักแต่งเพลงผู้มีความสามารถจนได้เป็นศิลปินแห่งชาติ

ชาลีไม่เคยเรียนอักษรศาสตร์ ไม่เคยเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยใดๆ แต่บทกวีที่มีทำนองของเขามีคุณค่ามหาศาลและเป็นอมตะตลอดมา

ตั้งแต่วัยจรดปากกาเขียนอักษรตัวแรกมาจนถึงทุกวันนี้ ตลอดไปไร้กาลเวลา

ถ้าไม่มี “ชาลี” … “ชรินทร์ นันทนาคร” คงไม่ยืนหยัดมาได้ “เรือนแพ” “ท่าฉลอม” “แสนแสบ” และอีกหลายสิบเพลงที่ยังก้องหูซึมซับเข้าสู่หัวจของผู้ฟัง เกิดจากมันสมองที่สง่างามสมชื่อ

มองฟ้า มองดิน มองหิน มองโคลน เขาร้อยเรียงออกมาได้อย่างไรไพเราะผสมกลมกลืน ประหนึ่ง “สุนทรภู่” ผู้ลอยเรือร่อนเร่เขียนกาพย์กลอนจนกลายเป็นภาษิตสอนผู้คน

ทุกบทกลอนของชาลี ถ้าตีราคา จะมีคุณค่ามหาศาลประมาณมิได้ แต่ในชีวิตจริง เขาโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้แม้แต่ที่พักพิงเป็นที่เป็นทางเหมือนนักกลอนในอดีตไม่ผิดเพี้ยน

เขาอาจขาดหลายสิ่งในชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยขาด คือ “น้ำใจ” ที่มีให้เพื่อนฝูงทุกคน ซึ่งค่าของมันมากล้นยิ่งกว่า “น้ำเงิน” หลายเท่านัก

ทุกบทเพลงจากมันสมองของเขา ผมได้ปฏิบัติหน้าที่ถ่ายทอดออกมาอย่างตั้งใจที่สุด เพื่อให้สมกับที่เขาได้จินตนาการออกมา

บางครั้งเราเอาหัวชนกันเพื่อผลิตงานออกมาตลอดทั้งคืน โดยไม่มีอาหารสัมผัสท้องสักมื้อเดียว

“…หิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกัน…” ก็มาจากสิ่งเหล่านี้

ถ้าบทกวีของเขาเป็น “หยดหมึก” ผมก็คือ “กระดาษซับ” มันกระเซ็นมาหยดแล้วหยดเล่า จนกระดาษซับเต็มแผ่น ผมก็ยังเก็บถนอมไว้ไม่เคยฉีกทิ้ง

เพราะหมึกทุกหยดมีค่ายิ่งกว่ากระดาษซับเหลือเกิน

“ชาลี..กวีผู้มีทำนอง” และ

“เพื่อนผู้มากน้ำใจยิ่งกว่าเงิน”

 ครับ..ผมขออนุญาตห้อยท้ายด้วยซาบซึ้ง-ประทับใจ..

 หยาดเพชร หยาดละอองผ่องใส แม้อยู่ในความมืดมน!

 


Written By
More from pp
ดำรง พุฒตาล โหนกระแส ส.ส กรีดเลือดในสภา เล่าผ่านไลน์ ว่าด้วยเรื่องทหารก๊กมินตั๋ง กรีดเลือดร่วมสาบาน บนดอยแม่สลอง
ดำรง พุฒตาล เล่าผ่านไลน์ กรณีมีท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย ได้ใช้มีดเฉือนแขนของตัวเองซึ่งบางที ก็เรียกว่า “กรีดเลือด” ในการ ประชุมรัฐสภาครั้งพิเศษ วิสามัญ เมื่อวันที่ 27...
Read More
0 replies on “ชาลี..กวีผู้มีทำนอง-สันต์ สะตอแมน”