ผักกาดหอม
เบื่อนักการเมืองปากอย่างใจอย่าง
ฉีดวัคซีนไม่บอกใคร
พอสังคมรู้เข้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ขู่จะฟ้องให้เรียบ
ก็ไม่รู้จะโมโหไปทำไม กับอีแค่ฉีดวัคซีน
ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
ครับ…องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่าประชากรเกินครึ่งในยุโรปจะติดโควิด-๑๙ สายพันธุ์โอมิครอน ภายในเดือนมีนาคมนี้
สื่อต่างประเทศตีข่าวกันใหญ่โต ว่ายังมีผู้คนเดินพลุกพล่านบนถนนสายหลักกลางกรุงลอนดอน ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากอนามัย
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ วันละ ๑-๒ แสนราย
มีตัวเลขน่าตกใจ ช่วง ๗ วันที่ผ่านมา ยุโรปมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบ ๘ ล้านคน
จะเยอะไปไหน
องค์การยายุโรป (อีเอ็มเอ) ชี้ว่าการแพร่กระจายของโอมิครอนกำลังผลักดันให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่มนุษยชาติสามารถอยู่ร่วมได้
เราจะเริ่มได้ยินประโยคเช่นนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากทั่วโลก รวมทั้งในไทย
แพทย์หญิงสุมนี วัชรสินธุ์ ผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. สรุปสถานการณ์โดยรวมไว้วานนี้ (๑๒ มกราคม) ว่า ลักษณะของโรคมีการลดความรุนแรงลง และประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน อัตราการป่วย และเสียชีวิตอยู่ในระดับที่ต่ำ รวมทั้งการให้ความร่วมมือของประชาชน และสถานประกอบการ
จึงคาดหวังว่า ในปีนี้ โควิดจะเปลี่ยนจาก “โรคระบาด” เป็น “โรคประจำถิ่น”
โอมิครอน จะเป็นไวรัสโควิด-๑๙ ตัวสุดท้ายหรือไม่ ในทางการแพทย์ก็ยังไม่ชัดครับ
แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง หมอแอนโทนี เฟาซี หัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่า แม้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ และผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสหรัฐฯ จะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในเกณฑ์เปลี่ยนผ่านไปสู่การอยู่ร่วมกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่สามารถจัดการและรับมือได้
“เมื่อเราไปถึงจุดนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ซึ่งในตอนนี้เราอาจจะอยู่ในเกณฑ์อยู่ร่วมกับไวรัส”
วันนี้ มนุษย์โลกเสียชีวิตเพราะ โควิด-๑๙ กว่า ๕.๕ ล้านคนแล้วครับ
ในข่าวร้ายก็มีข่าวดีอยู่บ้าง อัตราการเสียชีวิตในปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลง
แต่โควิด-๑๙ จะทำให้มนุษย์เสียชีวิตไปอีกกี่ล้านคน ยังคงเป็นคำตอบที่ตอบยากมาก
แน่นอนว่า ไม่น่าจะเท่าการระบาดของ กาฬโรค ในช่วงปี พ.ศ.๑๘๘๙-๑๘๙๖ ปลายอาณาจักรสุโขทัย ต้นกรุงศรีอยุธยา
เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรง และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
คาดว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมดถึง ๗๕-๒๐๐ ล้านคน
มากมายแค่ไหนน่ะหรือ
ก็ ๑ ใน ๓ ของประชากรโลกในขณะนั้นเลยทีเดียว
สาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย เยอร์ซีเนีย เพสติส (Yersinia Pestis) ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในสัตว์จำพวกหนูในแถบตอนกลางของเอเชีย
จุดเริ่มต้นเชื่อว่ามาจากขบวนคาราวานที่เดินทางมาจากเอเชีย เข้าไปยังท่าเรือที่ซิซิลี ประเทศอิตาลี ประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๐ ก่อนที่จะแพร่ต่อไปทั่วทั้งทวีปยุโรป
ว่ากันว่าซากศพของคนที่ตายนั้น ทับถมกันจนสูงเป็นเนิน ทำให้ไม่สามารถเผาทำลายได้อย่างทันท่วงที
เมื่อซากเริ่มเน่าสลายก็ก่อให้เกิดเชื้อโรคกระจายลงทั้งพื้นดิน
ลงสู่แหล่งน้ำ โรคจึงระบาดไม่จบสิ้น
ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-๑๙ ทั่วโลกในขณะนี้เทียบแล้วเท่ากับ สงครามโลกครั้งที่สอง
เป็นสงครามที่กินเวลาตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ ถึง ๒๔๘๘ ประเทศส่วนใหญ่ในโลกมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด
แบ่งเป็นพันธมิตรทางทหารคู่สงครามสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ
เป็นสงครามที่กว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารกว่า ๑๐๐ ล้านนายจากกว่า ๓๐ ประเทศเข้าร่วมโดยตรง
สงครามนี้มีลักษณะเป็น “สงครามเบ็ดเสร็จ” ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง ๕๐ ถึง ๘๕ ล้านคน
สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และมีผู้เสียชีวิตสูงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
แต่ถ้าเป็นโรคระบาดด้วยกัน ก็เท่ากับการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดสเปน ช่วง พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓
เป็นการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตมากผิดปกติ
มีผู้ได้รับผลกระทบ ๕๐๐ ล้านคนทั่วโลก รวมถึงหมู่เกาะแปซิฟิกห่างไกลและอาร์กติก
ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๔๐-๕๐ ล้านคน
สำหรับเหยื่อโควิด-๑๙ สายพันธุ์โอมิครอน ไม่ได้ล้มหายตายจากเป็นใบไม้ร่วงเหมือนในช่วงเดลตาระบาด ฉะนั้นยังเทียบชั้น กาฬโรคในอดีตไม่ได้แน่นอน
แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วในวันนี้คือ โอมิครอนระบาดเร็วทุบสถิติโควิดทุกสายพันธุ์ไปแล้ว
หมอยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปประเด็นให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ
…โควิด-๑๙ โอมิครอน หลังจากที่มีการระบาดมาแล้ว ๒ เดือน
มีข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับ โอมิครอน เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
โอมิครอน ระบาดได้รวดเร็วมาก กระจายไปทั่วโลก พบแล้วมากกว่า ๑๔๐ ประเทศ หรือจะเรียกว่าทั่วโลกก็ได้ แสดงถึงการขยายตัวเพิ่มขึ้นเร็วมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดลตา
โอมิครอน ติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นที่ผ่านมา
ผู้ติดเชื้อ โอมิครอน มีความรุนแรงของโรคน้อยกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา อัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่า และภาพรวมอัตราการตายของ โอมิครอน ก็ลดลงกว่าสายพันธุ์ หรือที่มีการระบาดก่อนหน้านี้
การตรวจวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็น RT-PCR หรือการตรวจอย่างรวดเร็วด้วย ATK ไม่ได้เปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ เพราะ RT-PCR ส่วนมากเราใช้ยีน N และ RdRp ที่มีความคงที่
ส่วน RDT ก็เป็นการตรวจ nucleocapsid ไม่ใช่เป็นการตรวจหา spike protein ซึ่งส่วนของ nucleocapsid มีความเสถียรมากกว่า
โอมิครอน หลบหลีกภูมิต้านทานได้ ภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน ไม่ว่าจะเป็น AZ หรือ mRNA ส่วนใหญ่มีเป้าหมายอยู่ที่ spike protein ที่ โอมิครอน มีการเปลี่ยนแปลงมาก
จึงทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนที่ผ่านมาลดลง
ประกอบกับ ระยะฟักตัวของโรคสั้น จึงต้องใช้ระดับภูมิต้านทานที่สูงอยู่ตลอดเวลาในการป้องกันการติดโรค เมื่อภูมิต้านทานลดลงก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้ แต่กระบวนการกำจัด หรือหายจากโรค อาศัยระบบภูมิต้านทานส่วนอื่นด้วย จึงทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีอาการของโรคน้อยลง และจะหายจากโรคได้เร็วกว่า
ทุกครั้งที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นจะมีผลต่อสุขภาพร่างกาย เศรษฐกิจ สังคมและจิตใจ ผลกระทบทางจิตใจ ในบางครั้งมีความสำคัญมากกว่าทางร่างกายเสียอีก
สังคมปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารถึงกันได้อย่างรวดเร็วมาก มีการสื่อทางสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ในบางข่าวจะมีความจริงเพียงเล็กน้อยและใส่ความเห็นเป็นจำนวนมาก ความเห็นจะมีแนวโน้มเอียง หรือมีอคติได้ ข้อมูลที่ได้จากสื่อสังคม จะต้องพิจารณาแยกแยะให้ได้…
ครับ…คงต้องอ้อนวอนกันอีกรอบ
เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา
หมาด่าเรื่องวัคซีน แต่ดันไปฉีดวัคซีนไม่บอกใคร
มันน่าเชื่อถือซะที่ไหนล่ะครับ