3 ธันวาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ในประเด็นที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สธ. เข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก ที่นครเจนีวา สหพันธรัฐสวิสระหว่างวันที่ 29 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2564 ว่า
นับเป็นเกียรติของไทย ที่ได้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้มีการใช้กฎหมายระหว่างประเทศ มีเป้าหมาย บูรณาการประเทศต่างๆ ช่วยกันแก้ปัญหาโรคระบาด รวมไปถึงโควิด 19 นายอนุทิน เดินทางไปในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่านได้ใช้โอกาสนี้ เสนอแนวทางแก้ปัญหาโรคระบาดที่ตรงจุดที่สุด คือ การให้ทุกประเทศ ช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำด้านการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอขององค์การอนามัยโลก(WHO)เสมอมา แน่นอนว่า การเสนอของท่านต้องอาศัยความกล้ามาก เพราะเราเป็นประเทศเล็กๆ แต่เรากำลังเรียกร้องในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้ทั้งโลก สามารถเอาชนะโรคระบาดได้
นายอนุทิน ยังได้ใช้โอกาสอันล้ำค่าในการสร้างความมั่นใจ ให้ทั่วโลก เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทย ที่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั้งโลกกำลังเผชิญกับโควิด 19 โดยเฉพาะความสามารถของไทย ในการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ซึ่งเราสามารถฉีดให้คนไทยได้เกิน 70% ของประชากรแล้ว ขณะที่มีประชาชนได้รับวัคซีนเข็ม 2 เกินกว่า 60% และไทยยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ฉีดเข็มบูสเตอร์ให้ประชาชน
การให้บริการของเรา รวมถึงคนต่างชาติ ที่พำนัก ทำงานในไทย ข้อมูลเหล่านี้ สะท้อนความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของไทย ที่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกยังกล่าวชื่นชม ซึ่งนับตั้งแต่นายอนุทิน ดำรงตำแหน่งได้พยายามยกระดับระบบสาธารณสุขพื้นฐาน
ทั้งจากนโยบายรักษาทุกที่ ทั้งโรคทั่วไป โรคมะเร็ง ไปจนถึงนโยบาย 3 หมอ ท่านไม่ละเลยงานบริการประชาชนเลย การไปประชุมครั้งนี้ เป็นการสร้างความมั่นใจให้คนไทยด้วยกัน ไปจนถึงต่างชาติ ว่าประเทศไทย ยังมีระบบการแพทย์อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก
ยิ่งในปีหน้า ไทยจะได้ตำแหน่งประธานโครงการเอดส์โลก โดยสหประชาชาติ ยิ่งเป็นเครื่องชี้วัดว่าระบบสาธารณสุขไทย ในยุคของนายอนุทินนั้น ยังยอดเยี่ยม ความมั่นใจ ที่เกิดขึ้นจะเกิดผลบวกต่อการค้า การลงทุนแน่นอน และจะเป็นพื้นฐานการฟื้นเศรษฐกิจไทย แน่นอน