ผักกาดหอม
อัปเดตสถานการณ์โควิด-๑๙ และการฉีดวัคซีน กันหน่อยครับ
เริ่มที่วัคซีน…
ภาพรวมประเทศไทยฉีดสะสมแล้วร่วมๆ ๙๐ ล้านโดส
สิ้นเดือนพฤศจิกายน น่าจะได้ ๑๐๐ ล้านโดสตามเป้าที่วางไว้
เฉพาะเข็ม ๑ ก็น่าจะครบ ๕๐ ล้านโดส
ฉะนั้นสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเหลือคนไทยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนประมาณ ๑๐ ล้านคน
และส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มที่จองวัคซีน Moderna ไว้กับโรงพยาบาลเอกชน
จนถึงวันนี้ วัคซีน Moderna มีการฉีดไปแล้วร่วม ๓ แสนโดส ก็คงจะทยอยฉีดกันไปเรื่อยๆ เพราะ Moderna เข้ามาล็อตแรกมี ๕.๖ แสนโดส
กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับ Moderna ๑ ล้านโดสที่บริจาคโดยอเมริกานะครับ
ของบริจาครัฐเอาไปฉีดให้ประชาชนทั่วไปฟรี ไม่คิดเงิน
สิ้นปี การฉีดวัคซีนน่าจะครบ ๑๐๐%
สำหรับคนที่รอ โมเดอร์นา ควรจะเพิ่มทางเลือกให้ตัวเอง
เพราะตอนนี้โอกาสในการฉีดวัคซีนเปิดกว้างกว่าเดิมมาก หลายที่ Walk-In ได้เลย บางที่ต้องจองก่อน
มีหลายสูตรวัคซีนให้เลือก ชนิดวัคซีนหลักๆ คือ AstraZeneca กับ Pfizer
ทั้งสถานการณ์โควิด และวัคซีน ได้เปลี่ยนไปแล้วแทบจะสิ้นเชิงครับ
ฟัง “คุณหมออภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษก ศบค.” แถลงข่าววานนี้ (๒๒ พฤศจิกายน) แล้ว ต้องเอาใจช่วยกันครับ
“มีบางจังหวัดรายงานมาว่าหาคนไปฉีดวัคซีนเข็มที่ ๑ ยากมาก
ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมที่ท่านอยู่อาศัยด้วย ในการจะเปิดประเทศให้ปลอดภัย”
ก็แสดงว่ายังมีคนไม่กล้าฉีดวัคซีนอยู่จำนวนหนึ่ง
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็อย่างที่รู้กัน มาจากการด้อยค่าวัคซีน ปล่อยข่าวเท็จว่าฉีดวัคซีนแล้วไม่พิการก็เสียชีวิต
จนถึงวันนี้ก็ยังมีคนเชื่อชุดข้อมูลที่บิดเบือนนี้อยู่
ฉะนั้นใครที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ก็ลองเปิดใจฟังข้อเท็จจริงที่ออกมาจาก ศบค. เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและคนรอบข้าง
“คุณหมออภิสมัย” แถลงเอาไว้แบบนี้ครับ
“พบว่าผู้เสียชีวิตมีอัตราครองเตียงเพียง ๑๐ วัน สะท้อนว่าเป็นผู้ป่วยใหม่ และไม่ได้ฉีดวัคซีน ทำให้มีอาการป่วยหนักอย่างรวดเร็วและเสียชีวิต”
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ
การฉีดวัคซีนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลดอัตราการป่วยและตายได้จริง
ถ้าไม่ฉีด ก็เสี่ยงป่วยและตายได้มากกว่าฉีดจริง
ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับความตาย
ประเด็นการรอวัคซีน Moderna ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ แต่วันนี้นำมาพูดไปก็ป่วยการ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากลดอัตตา หาวิธีว่า ทำอย่างไรจะพาตัวเองไปรับวัคซีนที่รัฐจัดให้ ให้เร็วที่สุด ซึ่งก็ไม่มีอะไรซับซ้อน
ก็อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น บางที่ Walk-In บางที่ต้องจองก่อน แต่มีวัคซีนเหลือเฟือ
มีทั้ง AstraZeneca และ Pfizer
สำหรับใครที่ยังยึดติด เอาการเมืองมาพันกับโควิด-๑๙ และวัคซีน ไม่ยอมฉีดวัคซีนที่รัฐจัดให้ เพราะเป็นรัฐบาลเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย ยืนกรานจะฉีดวัคซีนจองจากโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น ก็ลองกลับไปอ่านที่ “หมอยง ภู่วรวรรณ” เขียนเอาไว้
บริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะไม่ขายโดยตรงให้ภาคเอกชน
…วัคซีนโควิดที่ใช้อยู่ การขึ้นทะเบียนจะอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น บริษัทจะไม่ยอมขายให้ภาคเอกชนโดยตรง เพราะการเร่งการผลิต พัฒนา และใช้ในภาวะฉุกเฉิน
การเกิดอาการแทรกซ้อน ทั้งระยะสั้น ระยะยาว บริษัทจะให้ทางรัฐบาลรับผิดชอบได้เลย ทั้งระยะสั้นระยะยาว
ถ้าขายให้เอกชน ภาคเอกชนจะรับผิดชอบได้อย่างไร
จึงต้องขายให้ภาครัฐ หรือองค์กรที่เป็นตัวแทนของรัฐ
ทางรัฐเองจึงต้องมีงบประมาณเตรียมไว้ให้สำหรับการเกิดอาการข้างเคียงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอการตรวจสอบถูกผิด อย่างเช่น ขณะนี้จะมีงบประมาณผ่าน สปสช.มาชดเชย
ในส่วนของภาคเอกชน เช่นวัคซีน Moderna ที่ใช้อยู่ ทางภาคเอกชนจะต้องให้องค์การเภสัชฯ เป็นตัวแทนของรัฐในการจัดซื้อ และทุกโดสของวัคซีนจึงต้องมีการทำประกัน ในการชดเชย ถ้าเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนขึ้น
แน่นอนราคาของวัคซีนในภาคเอกชน จึงต้องบวกค่าขนส่ง การเก็บรักษา และค่าประกัน (แต่ละโดสไม่ถูกเลย) เข้ามารวมในราคาวัคซีน
ถึงแม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์ดังกล่าว ถึงแม้จะมีเงิน เมื่อของมีน้อย ผู้ขายก็ย่อมถือไพ่เหนือกว่าแน่นอน…
ที่จริงเรื่องนี้อธิบายกันมาตลอด ช่วงแรกๆ คนไม่เชื่อกันเยอะ แถมยังด่า “หมอยง” กลับซะอีก
วันนี้ถ้ายังไม่ฟัง ก็คงต้องบังคับให้ฟังกันบ้าง เพราะโควิด ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของโลก
อย่างน้อยๆ ให้นึกถึงคนในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ที่อาจต้องป่วยเพราะคนไม่ยอมฉีดวัคซีนจากทัศนะทางการเมืองที่เกลียดชังรัฐบาล
ถ้าจำกันได้แม้กรณีวัคซีนบริจาค ก็ใช่ว่าการได้มาจะง่าย
ดูกรณีโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เป็นตัวอย่าง
มีความพยายามจะนำวัคซีนเข้ามา มีการตัดพ้อรัฐบาล เพราะเห็นราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามาได้ ทำไมธรรมศาสตร์ทำบ้างไม่ได้
และเมื่อไปจับงานจริงๆ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์กลับทำ Moderna ๑.๕ ล้านโดส ที่บริจาคโดยประเทศโปแลนด์หลุดมือ
จะบอกว่าเพราะความไม่ประสีประสาก็คงได้
ที่แน่ๆ คือเกินกำลัง ไม่มีเงินค่าขนส่ง จัดเก็บ จึงไปของบฯ จากโรงพยาบาลเอกชน และตกลงกันว่าจะให้นำวัคซีน ๑ ล้านโดส ออกไปกระจายฉีดให้ประชาชนทั่วไป โดยคิดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ประกันภัย และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องได้ ตามราคาต้นทุนที่ได้จ่ายไปจริง
โปแลนด์เขาเลยไม่ให้ เพราะเขาบริจาคเพื่อไปฉีดฟรี ไม่ใช่เอาไปขายต่อ
ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์กลับอ้างว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทย ไม่เคยแจ้งหรือปรึกษาประเด็นนี้กันก่อน
ครับ…ก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ประสบการณ์น้อย หรือตกเป็นเครื่องมือโรงพยาบาลเอกชน ที่ควานหา Moderna ไปฉีดให้ลูกค้ากันแน่
สุดท้าย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ประกาศยุติบทบาทไป
แต่คนกลับด่ารัฐบาลว่า กีดกันไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีน
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนนี้
ที่ต้องอธิบายกันซ้ำๆ เพราะยังมีคนเชื่อว่า จนถึงเดี๋ยวนี้รัฐบาลก็ยังกีดกันการนำเข้าวัคซีนอยู่
ดีว่า “หมอบุญ” เพลาๆ ลงไปแล้ว เพราะจนด้วยหลักฐานหลายครั้ง
แต่บรรยากาศความเกลียดชังทางการเมืองยังอยู่ ความไม่พอใจเรื่องวัคซีน เรื่องการแก้ปัญหาโควิด ก็ยังไม่หายไปไหน
ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริง สถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงกลางปี ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ลด เลิก ละ การเมืองเสียบ้าง
แล้วรีบไปฉีดวัคซีนเทพที่รัฐจัดให้เสีย