เนติบริกร “ยาเสื่อม” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ก.ตร. “มติเอกฉันท์” ๑๒-๐
คำสั่งที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย!
ก็ไม่เป็นไรนะ…เทพโจ๊ก
ก.ตร.แค่ด่านแรก

กพ.ค.ตร. “คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตำรวจ” คือด่านที่สอง ท่านก็ไปร้องไว้แล้วมิใช่หรือ?

“คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม” นี่ เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำรวจนะ มีศักดิ์เทียบเท่าศาลปกครองชั้นต้น

เป็นองค์กรเกิดขึ้นใหม่ตาม “พรบ.ตำรวจแห่งชาติพศ.๒๕๖๕” ทำหน้าที่ตามชื่อนั่นแหละ

และบิ๊กโจ๊กนี่แหละมัง เป็นผู้ใช้บริการคนแรก!
ร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว กพ.ค.ตร.มีกรอบเวลาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน ๓ เดือน หรือ ๑๒๐ วัน ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้ ๒ ครั้ง

กรกฎา.ไม่เกินสิงหา. ก็น่าจะรู้ผล

ถ้า กพ.ค.ตร.บอกว่า คำสั่งที่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ไม่ถูกต้อง บิ๊กโจ๊กก็กลับเข้านั่งเก้าอี้รองผบ.ตร.คั่วเก้าอี้ผบ.ตร.ด้วยอาวุโสอันดับ ๑ ได้ทันที

แต่ถ้า “กพ.ค.ตร.” มีมติออกมาแนวเดียวกับ ก.ตร. คือ คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ถูกต้องแล้ว

บิ๊กโจ๊กต้องงัด “ชีวิตที่ ๑๐” ออกมาเป็นเดิมพันแล้วหละ!

เอาชีวิตที่ ๑๐ ไปทำอะไร?
ไปทำ “นาแห้ว” ขุดหัวสุดท้าย คือฟ้องต่อ “ศาลปกครองสูงสุด” นั่นไง

“ศาลปกครองสูงสุด” จะเป็นเส้นทางปรารถนา “เส้นสุดท้าย” ในถนน “สายตำรวจ” ของบิ๊กโจ๊ก

ถ้าชนะที่ศาลปกครองสูงสุด
อนาคต “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” บนเก้าอี้ผบ.ตร.จะเป็นฝันสูงสุดที่อาจเอื้อมถึง

ถ้าแพ้ บิ๊กโจ๊กก็จะได้รับรู้ความจริง ว่าแมวนั้น จบแค่ ๙ ชีวิตจริงๆ!

๑๑ ชีวิต อาจมี “แมวไข่ชีส” อีก ๒ ใบนั่นไง!

คำถามต่อมา หมายความว่า เมื่อ ก.ตร. ยืนตามความเห็น อนุ ก.ตร.ว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบแล้ว

ตอนนี้บิ๊กโจ๊กก็พ้นสภาพ รองผบ.ตร.และหมดสิทธิ์เข้าชิงเก้าอี้ผบ.ตร.แล้วอย่างนั้น ใช่มั้ย?

ไม่ใช่ครับ…..!

บิ๊กโจ๊ก ยังอยู่ในตำแหน่ง และมีสิทธิครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง เพียงตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง จึงถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนระหว่างสอบสวนวินัยเท่านั้น

จะพ้นจากตำแหน่งได้ ก็ต่อเมื่อกรรมการสอบวินัย สอบแล้วมีคำเสนอแนะให้ออกจากตำแหน่ง

นายกฯ ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

แต่ตอนนี้ กรรมการสอบวินัย ยังสอบไม่เสร็จและไม่มีคำเสนอแนะให้ผู้บังคับบัญชาปฎิบัติอย่างไร

บิ๊กโจ๊กจึงอยู่ในขั้นถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามมาตรา ๑๓๑ พรบ.ตำรวจแห่งชาติเท่านั้น

ยังไปไม่ถึงขั้นกรรมการสอบวินัยแนะนำให้ปฎิบัติอย่างไร จึงอยู่ระหว่าง “พักงาน” ประมาณ นั้น โดยไม่เสียสิทธิอันพึงได้ใดๆ ทั้งปวง

และยังไม่ถึงขั้นตอนต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูล ตามที่เนติบริกรแถลงให้ข้อสังเกตเป็นตุ-เป็นตะ

ที่เนติบริกรฟันธงว่า คำสั่งพล.ต.อ.กิตติ์รัช พงศ์เพชร รักษาการผบ.ตร.ที่ให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม นั้น

เอาเข้าจริง ที่ไม่ถูกต้อง ก็ที่เนติบริกร “ตั้งข้อสังเกต” เลยธงนั่นตะหาก!

การที่ ก.ตร. มีมติออกมาเช่นนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างว่า เรื่องนี้ No Big Deal

ทำให้คลายอึดอัดกับสภาพ “อำนาจเถื่อน-คนสถุล” กดทับ “อำนาจแท้” ลงไปได้หน่อย

ยังไงก็นึกขอบคุณ ๒ กตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ทำหน้าที่เป็นแกนเหล็กตรึงกำแพงสตช.ด้วย “ยึดซื่อ-ถือตรง” ทำให้ตำรวจสบตาประชาชนได้บ้าง

นั่นคือ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง และพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และทัพหนุนนอก สตช. อย่าง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ กูรูกฎหมายอีกท่าน ที่บิ๊กโจ๊กคงอยากเฉือนหูดำไปจิ้มพริกน้ำส้มแกล้มเหล้าให้หายคันใจ

ตำรวจเนี่ย ถ้าสังเกตจะเห็น “หัวกับหาง” มักเคลื่อนไหวไปทางเดียวกัน

นั่นคือ ที่พูดกันว่า ต้อง “ปฎิรูป สตช.” นั้น ต่อให้ล้านปฎิรูป มันก็ไม่สามารถทำให้ตำรวจไม่เป็นโจรหรือเป็นลูกมือให้โจรไม่ได้

“โจร” ในที่นี้ เส้นทางสายนิยมของเขาคือ “ดมมือ-เลียตีน” นักการเมืองกังฉินเป็นอาชีพ

ไอ้พวกนี้ โตเร็วซะด้วยนะ สวมแว่นดำ ยืนประกบนาย วางมาดกวนตีน-กวนตา คอยวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วคืนกุมไข่ให้เจ้านายขึ้นรถ

งานขี้ข้าแค่เนี้ย ปี-สองปี พราดๆ ขึ้นเป็นนายพัน-นายพล ส่วนตำรวจทำงานให้ประชานตากแดด-ตากฝน หลังขดหลังแข็งทำสำนวน

จนเกษียณ แค่พันตำรวจเอกแก่ๆ อย่าว่ามีเงินเก็บไว้กินหลังเกษียณเลย

แค่จะกินในแต่ละวัน ถ้าไม่รับสินบาทคาดสินบน หรือทุจริตต่อหน้าที่ อย่าหวังว่าจะเต็มปาก-เต็มท้องได้แต่ละวัน

เป็นตำรวจดี ไม่ยาก
แต่อยู่ในสังคมตำรวจด้วยกันยาก ฉะนั้น ต้องหางด้วนไปตามๆ กัน ถึงจะอยู่ได้ เพราะระบบส่วยเขาจัดสรรใส่ซองไว้ให้ในแต่ละเดือนแล้ว

แค่ไม่ทำตัวเป็นดี กลับได้ดี-มีกิน เป็นตำรวจดี ขวางโลกเขา มันก็อยู่ยาก ระบบมันเป็นอย่างนี้แหละพี่น้องเอ๋ย

ทุกวันนี้ เจ้านายที่ตำรวจอยากไปอยู่ด้วยมี ๒ ประเภท
-ชอบไปเป็นตำรวจติดตามนักการเมือง
-ชอบเป็นลูกน้องในทีมเจ้านาย “สายนิยมโจร”

เนี่ย…ต้นทางสู่ความเป็นตำรวจชั่ว มาจาก “หัว” คือผู้นำที่เป็น “หัวหน้า” นั่นแหละ

ตำรวจกับมหาโจรวันนี้ ผลัดกันสวมเสื้อสีกากีนั่งโรงพัก เดินถนนคนละวัน เหมือนกัน-ค่าเท่ากัน!

ฉะนั้น คำว่าปฎิรูปตำรวจทั้งระบบ มันพูดได้ แต่ทำไปก็ไม่ต่าง “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”

“ดี-ชั่ว” กำเนิดเกิดจากต้นทาง

ตำรวจผู้น้อยมีเป็นแสนๆ จะให้คนเป็นแสนดีทุกคน ผิดธรรมชาติ แต่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่จะไปดูแลผู้น้อย มีระดับพัน

เราจะปฎิรูปขั้น “ปฎิวัติ” คนระดับพัน เพื่อเป็น “ต้นพันธุ์-ต้นเชื้อ” ตำรวจดี แบบนี้ น่าจะสอดคล้องธรรมชาติและได้ผล

พันเจ้านาย จะผ่าเหล่าเป็น “นายเลว” ก็ต้องมีบ้าง
แต่ไม่มากและไม่ยากต่อการแก้ไข ฉะนั้น การปฎิรูปตำรวจจะหวังทำทีเดียวทั้งระบบ มันพูดได้ แต่ไม่เกิดผล

ต้องเพาะพันธุ์ ส่งเสริม เชิดชู “ตำรวจดี” ขึ้นเป็นหัวในแต่ละยูนิต เมื่อหัวไม่ส่าย หางมันก็จะไม่กระดิก นี่เป็นธรรมชาติ

และที่สำคัญ องค์กรที่ทำให้ “ตำรวจเลว” มีมากและเฟื่องฟู คือ “นักการเมือง”

ฉะนั้น ควรต้อง “ตัดตอน” คนการเมือง
อย่าให้การเมืองเข้าไปมีอำนาจเหนือในสถาบันตำรวจ ดังทุกวันนี้!

ใช่…ตำรวจต้องไม่คอร์รัปชัน
แต่ธรรมชาติสัตว์สังคม ล้วนอยู่กันด้วยความเกื้อ เอื้อหนุนและมีอาทรต่อกัน

ผมรับรู้ได้ในความเป็นมนุษย์ร่วมสังคม เต็มใจช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น พูดง่ายๆ “อยากแบ่งปัน” เมื่อเห็นใครทำดี ประพฤติตัวดี

เห็นตำรวจดี งกๆ ทำงาน พูดจาปราศรัยกับประชาชนดี คนเขาอยากให้นะ หรือบางคดีใหญ่ๆ ยิ่งเป็นคดีเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้วยแล้ว

เมื่อตำรวจทำสำนวน ทำคดีซื่อตรง เจ้าทุกข์ก็พร้อมแบ่งปันให้ด้วยความเต็มใจ นี่เรื่องจริง มีเยอะด้วย

ผมจึงว่า ระบบตำรวจต้องไม่มีคอร์รัปชัน มีต้องเอาให้ตาย

แต่ต้องไม่ปิดกั้นระบบ “สินน้ำใจ” อย่างภาษาฝรั่งที่เรียกคอมมิสชั่น จะเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ ก็สุดแล้วแต่ผู้ใช้บริการเขาเต็มใจจะให้ รวมเป็นกองกลางไว้แต่ละโรงพัก

“สินน้ำใจ” เป็นเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม
มันจะแปลงความโลภจากผู้รับ แปลงความหยาบกระด้างทางตระหนี่ในตัวใจผู้ให้

เมื่อใจผู้ให้กับผู้รับเปิดเข้าหาตรงกัน คอร์รัปชัน สินบาทคาดสินบน จะสลายกลายเป็นความเอื้ออาทรที่สวยงามเบ่ง

ปลื้ม-อิ่มเอม กับที่ต่างได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันด้วยใจ

เชื่อเถอะ ที่สุดของการตะกายชีวิตกันทุกวันนี้
มันไม่ได้จบที่เงิน ที่วัตถุหรอก

มันจะจบอยู่ที่ใจพอ-ใจสุข และใจเช่นนั้น มันจะมาจาก “สังคมธรรม” ที่เริ่มจากคำว่า “มีแล้วแบ่งปัน” นั่นแหละ

สังคมทุกวันนี้ หื่นกระหายความรวย บ้าวัตถุ

ตัวเองไม่มีราคา ก็หาเงินไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับแพงๆ มาโปะ เพื่อให้คนอื่นดูว่ามีราคา

ใช่..มีราคา แต่เป็นราคาวัตถุ
แต่ราคาในความเป็นคน ไม่มีเลย!

ฉะนั้น ปฎิรูปตำรวจ ต้องเริ่มต้นจากหัว ตั้งแต่ พล.ต.อ. ลงไปถึง พ.ต.อ. ถ้าเป็นโจรในเครื่องแบบ
ไอ้ประเภทลดโทษ ภาคทัณฑ์ ย้ายไปซุกไว้โน่น-นี่ พอลืมแล้วย้ายให้มาเป็นโจรตามเดิม ต้องพอกันที

พอในที่นี้ ต้อง “เด็ดหัว” ผู้บังคับบัญชา ปักประจาน ๔ มุม สตช.เลย!

ผมเห็นยังนึกอนาถ บางนาย ขนาดหัวจะขาด ยังบ้าอำนาจ กร่างเป็นพระเอกน้ำดีของวงการ

กลับไปมีอำนาจได้ จะเอาคืนคนนั้น-คนนี้ ทั้งสตช.ไม่มีตำรวจเก่ง-ตำรวจดีเลยซักคน นอกจากกูกับลูกน้องกู!

อย่างนี้ มันจะไหวหรือ?

กินอย่างคน อยู่อย่างคน เงินเดือน เงินพิเศษ นายพล-นายพัน ก็พออยู่ได้

แต่ตลอดมา ตำรวจระบบมันบ่มเพาะมาให้กินอย่างเทวดา อยู่อย่างเทวดา แต่ทำงานเหมือนหมากลบขี้

ตำรวจกับโจร มันจึงต่างกันแค่ชื่อเรียกไงล่ะ

ที่พูดนี่…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า….
จะมีหนูตัวไหนกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมว!?

เปลว สีเงิน
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๗

Written By
More from pp
รมว.แรงงาน ขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์
สุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. ย้ำขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวการบริโภคสินค้าในประเทศตามนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
Read More
0 replies on “เนติบริกร “ยาเสื่อม” #เปลวสีเงิน”