ผักกาดหอม
ก็ร่างมาเพื่อไม่ให้ผ่าน
พอไม่ผ่านสภา ก็ดูเอาว่าเกิดอะไรขึ้น
เรื่องนี้ “ไอติม” ไม่ได้ทำคนเดียว
ที่แน่ๆ “ไอติม” เป็นหุ่นเชิด แต่จะถูกหลอกด้วยหรือไม่นั้นต้องดูกันยาวๆ
เด็กรุ่นใหม่อย่าง “ไอติม” อาจบริสุทธิ์ใจ อยากเห็น ประชาธิปไตยไทยเบ่งบาน เหมือนทุ่งบัวตองเบ่งบานตอนหน้าหนาว
แต่สำหรับ “เฒ่าสามนิ้ว” อาจไม่ได้คิดแบบนั้น
ครับ…ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอติม ถูกสมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่คว่ำไปด้วยเสียง ๔๗๓ ต่อ ๒๐๖ เสียงตามความคาดหมายของทุกฝ่าย
ที่บอกว่าทุกฝ่าย ก็เพราะคนเสนอก็รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าถ้าผ่านไปได้ หมาคงออกลูกเป็นไก่
เจตนามันเป็นอย่างนั้นด้วยซ้ำ
พอสภาไม่ให้ผ่าน มันก็เข้าแผนที่วางไว้สิครับ และคนเริ่มเกมก็มีอยู่หลายคน
หนึ่งในนั้นคือ “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ”
เฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ตอนนี้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากศูนย์บัญชาการสามนิ้ว
ปล่อยประเด็นให้เด็กๆ เอาไปแชร์ต่อ
————
To return to ancient Absolute Monarchy time means….
การต้องกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช นั้นหมายถึงว่า
๑.กลับไปสู่ยุค ปลายสมัย ร. ๕ (จุลจอมเกล้าฯ) คือประมาณ “การปฏิรูป” พ.ศ.๒๔๓๕ (๑๘๙๒) ซึ่งเปนยุคสูงสุดของพระราชอำนาจกษัตริย์ไทย เปนครั้งแรก และเปนการรวมอำนาจที่ศูนย์กลางที่องค์กษัตริย์ (centralization) อย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเปนสมัยสุโขทัย ล้านนา อยุธยา ธนบุรี หรือต้นรัตนโกสินทร์
๒.แต่จะตกต่ำ เสื่อมทรามลง อย่างรวดเร็ว ในสมัย ร. ๖ (มงกุฎเกล้าฯ) ที่เกิดการกบฏ/ปฏิวัติ ร.ศ.๑๓๐ (พ.ศ.๒๔๕๔/๕๕ หรือ ค.ศ.๑๙๑๒ ) หรือที่เรียกกันว่า “กบฏหมอเหล็ง” ของบรรดานายทหารหนุ่ม ๆ จากโรงเรียนนายร้อยทหารบก
๓.และจะตกต่ำลงอีกในสมัย ร. ๗ (ปกเกล้าฯ) ที่เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนา ๒๔๗๕/๑๙๓๒ โดยคณะราษฎร ที่นำโดยนายทหารบก ทหารเรือ ข้าราชการนักกฎหมาย และสามัญชนชาย จำนวนประมาณ ๑๐๐ คน
๔.สรุประบอบสมบูรณาญาสิทธิราช absolute monarchy ของ “สยาม” (ที่จะต้องเปลี่ยนเปน “ไทย” นั้น) มีอายุเพียงจาก พ.ศ.๒๔๓๕-๒๔๗๕ (๑๘๙๒-๑๙๓๒) คือ ๔๐ ปีเท่านั้น (อาจจะอายุสั้นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก้อเปนได้)
๕.ใน “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม” หรือ “รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยาม” ฉบับ ๒๗ มิถุนา ๒๔๗๕ (ที่ถูกสอดใส่คำว่า “ชั่วคราว” ไว้นั้นจารึกไว้เปนหลักฐานว่า
“มาตรา ๑ อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเปนของราฎรทั้งหลาย”
————-
เฒ่าจอมลักไก่!
จริงครับ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑ บัญญัติว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
แต่ “ชาญวิทย์” ไม่อธิบายต่อว่ามาตรา ๒ เขียนไว้ว่าอย่างไร และเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญไทยฉบับหลังๆอย่างไร
มาตรา ๒ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ บัญญัติไว้แบบนี้ครับ
“ให้มีบุคคลและคณะบุคคลดั่งจะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรตามที่จะได้กล่าวต่อไปในธรรมนูญ คือ
๑.กษัตริย์
๒.สภาผู้แทนราษฎร
๓.คณะกรรมการราษฎร
๔.ศาล
จากนั้นประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับแรกคือ ฉบับปี ๒๔๗๕ มาตรา ๒ นำมาตรา ๑ และ ๒ ของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว มามัดรวมกัน โดยบัญญัติว่า
“อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
นี่คือแม่บทของรัฐธรรมนูญทุกฉบับถัดมา
รัฐธรรมนูญที่ “ชาญวิทย์” และคณะอยากให้กลับนำมาใช้มากที่สุดคือรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มาตรา ๓ ก็บัญญัติว่า
“อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ฉบับที่บอกว่าเป็นเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต้องทำลายล้างนั้น มาตรา ๓ ก็เหมือน มาตรา ๓ รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ทุกคำ
แล้วจะจับประชาชนให้มาสู้รบกันทำไม
ก็เห็นชอบอกชอบใจที่ “ชลน่าน ศรีแก้ว” บอกว่า “ต้องไปสู้บนถนน”
เอาสิครับ “ชาญวิทย์” ต้องเดินนำหน้า
อย่าปล่อยให้เด็กไปตายแทน
เรื่องความตกต่ำที่ไล่มาเป็น พ.ศ.ก็ดีแล้วครับ แต่ก็น่าเสียดาย คนเป็นกูรูประวัติศาสตร์มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ กลับถูกอคติบังตา พาใจมืดมน จนหมดสิ้น
ยุค ร.๕ ไทยต้องต่อสู้กับฝรั่งล่าอาณานิคม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เข้มแข็งเพราะ ร.๕ ทรงพระปรีชาสามารถ
แล้วมันใช่เรื่องที่ “ชาญวิทย์” ต้องนำมาเป็นประเด็นตั้งต้นเพื่ออธิบายให้ข้อมูลมุมเดียว ทำให้เด็กรุ่นหลังเข้าใจผิด เพราะตั้งธงไว้แล้วว่า ไม่เอา ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำไมกัน
หากมองว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในรัชกาลที่ ๖ เสื่อมถอย ก็สามารถมองเช่นนั้นได้
แต่ในมุมกลับกัน “ชาญวิทย์” ต้องอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจด้วยว่า “ดุสิตธานี” เป็นเมืองจำลองรูปแบบระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๑ บริเวณพระราชวังพญาไท ดุสิตธานีเป็นเมืองเล็กๆ มีเนื้อที่ ๓ ไร่ ตั้งอยู่บริเวณรอบพระที่นั่งอุดร ในพระราชวังดุสิต มีลักษณะเป็นเมืองเล็กๆ คล้ายเมืองตุ๊กตา ประกอบด้วย พระราชวัง ศาลารัฐบาล วัดวาอาราม สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร ประมาณเกือบสองร้อยหลัง เพื่อเป็นแบบทดลองของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
โปรดให้มีพระธรรมนูญการปกครองลักษณะนัคราภิบาล ซึ่งเปรียบลักษณะของเมือง มีพรรคการเมือง 2 พรรค การเลือกตั้งนัคราภิบาล หรือนายกเทศมนตรี และมีสภาการเมือง แบบระบอบประชาธิปไตย
ความเป็น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในรัชกาลที่ ๗ มีความเข้มข้นน้อยลงไปอีกเป็นเรื่องจริง เพราะร่างรัฐธรรมนูญถึง ๒ ฉบับ
ฉบับแรกเป็นของพระยากัลยาณไมตรี “ฟรานซิส บี. แซร์”
อีกฉบับเป็นร่างของพระยาศรีวิสารวาจา
ทั้งหมดก็เพื่อปูพื้นฐานประเทศไทย ปกครองระบอบประชาธิปไตย
“ชาญวิทย์” มองข้ามข้อเท็จจริงในอดีตเหล่านี้ไปได้อย่างไร