วันที่ 22 กันยายน 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความกังวลของผู้ปกครองบางส่วน ถึงนโยบายการให้บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ผู้มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ว่า
เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ เป็นแม่ แต่ก็ต้องขอย้ำว่า วัคซีนที่นำมาให้บริการแก่ประชาชนทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ล้วนเป็นวัคซีนที่ผ่านการรับรอง และมีหลักฐานทางวิชาการ ที่บ่งชี้ถึงเรื่องของประสิทธิภาพ และความปลอดภัย รองรับ ประเทศไทย พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว อย่างไรก็ตาม การให้บริการแก่ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องขอความเห็นชอบจากผู้ปกครองด้วย
สำหรับการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ ขอย้ำว่า ไม่ใช่เพราะเป็นวัคซีน mRNA แต่เป็นเพราะ ผู้ผลิตยืนยันว่าสามารถให้บริการผู้มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ และมีการนำมาขึ้นทะเบียนกับ อย.ไทยเป็นที่เรียบร้อย
ประเทศไทย ต้องการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมที่สุด ก็ต้องตัดสินใจจัดหาเข้ามา ส่วนการจะให้บริการแก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ก็ต้องรอให้ผู้ผลิตนำหลักฐานมาขึ้นทะเบียน และผ่านความเห็นชอบเรื่องความปลอดภัย
ทั้งนี้ หากบรรลุขั้นตอนเรียบร้อย ประเทศไทย ก็จะหาเข้ามาบริการอย่างแน่นอน เมื่อถามถึงการเตรียมพร้อมหากยอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 พุ่งสูงขึ้น
นายอนุทิน ระบุว่า ทางกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประเมินสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ภารกิจเร่งด่วนคือการระดมฉีดวัคซีน ปัจจุบันสามารถฉีดวัคซีนได้ 6 – 7 แสนโดสต่อวัน สิ้นเดือนตุลาคม ยอดรวมการให้บริการอาจจะไปถึง 60 ล้านโดส ทางกรมควบคุมโรค มีความมั่นใจว่าจะฉีดได้ตามเป้าของปีนี้
จากนี้ ผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ต้องทยอยมารับเข็มบูสเตอร์ ซึ่งจะเริ่มให้บริการเป็นวงกว้างในวันที่ 24 กันยายน เป็นต้นไป จากนี้ เราต้องคำนึงเรื่องการฉีดบูสเตอร์ ต้องมองว่าวัคซีนช่วยลดอาการป่วยหนัก และลดการสูญเสีย