คราคราส “วันวิสาขะ”-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

วันนี้….
วันพระจันทร์เต็มดวง “ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก”
ณ อดีตกาล ย้อนกลับไป ๒๖๔๔ ปี
“สิทธัตถราชกุมาร” ประสูติจากครรภ์พระมารดา “พระนางสิริมหามายาเทวี” ใต้ต้นสาละ ณ ป่าลุมพินี เขตเนปาลขณะนี้
๓๕ ปีต่อมา ณ วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือนหก ทรงรู้แจ้งในทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค ด้วยพระสัมมาสัมโพธิญาน สู่ความเป็น “พระพุทธเจ้า” ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ปัจจุบันคือ “พุทธคยา”
อีก ๔๕ ปี ต่อมา เมื่อทรงพระชนมายุ ๘๐ พรรษา เพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก ณ ป่าสาละ เมืองกุสินารา เสด็จดับขันธปรินิพพาน
นั่นคือ “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ประสูติ-ตรัสรู้ -ปรินิพพาน ณ วันเดียวกัน
คือวันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก อันเป็นวันพระจันทร์เสวย “วิสาขฤกษ์”

วันนี้ พุธที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก ตามจันทรคติ นับเนื่องแห่งการเวียนมาของ “วันวิสาขะ” อีกปีหนึ่ง

เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าด้วยบุญส่งอย่างหนึ่ง
แต่การได้เกิดในแผ่นดินไทย ได้พบพระพุทธศาสนา นับเป็นทั้งบุญ-ทั้งวาสนา อันหาได้ยากยิ่งในชนหมู่อื่น

ฉะนั้น เมื่อวันวิสาขะเวียนมาถึง….
จงอย่าละเลย น้อมกาย-วาจา และใจ ในการพุทธบูชา
วัดวาอยู่ไหน…
“ที่ใจ” นั้นแหละ “วัดวา”

ไม่ต้องว้าวุ่นว่าจะ “วิสาขบูชา” อย่างไร จะบอกให้ เลิศในปฐพี คือ “ปฏิบัติบูชา”
ไม่ต้องจำ แต่จงปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์ ดังว่า “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา, จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติปาฏิกังขา”
แค่นี้ สิ้นพิภพ-จบแดนแล้ว!

“จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าปล่อยจิตเศร้าหมอง หมกมุ่นในทางชั่ว “นรก” เป็นที่หวังได้
อธิบายคร่าวๆ คือ เราต้องรักษาจิตให้ตรงธรรม รู้ดี-รู้ชั่ว, ผู้ผิด-รู้ถูก, รู้บุญ-รู้บาป ถ้าปล่อยให้โมหะคือความมืดดำในทางหลงผิดเข้าครอบงำ
“นรก” เป็นที่หวังได้ ………

คือนรกจะเป็นที่อยู่ในชีวิตปัจจุบัน และจะเป็นที่ไปในอนาคตแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรวางจิตของเราไว้ตรงไหน?

พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า…..
“จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติปาฏิกังขา” เมื่อจิตไม่ถูกครอบงำด้วยชั่วร้าย เป็นจิตผ่องใส ด้วยคิดดี-ทำดี-พูดดี
เช่นนี้ สวรรค์ จะเป็นทั้งที่อยู่ปัจจุบัน และจะเป็นที่ไปในอนาคตแน่นอน

สรุป “คิดบวก” ตามทำนองคลองธรรม อยู่สวรรค์
ถ้า “คิดลบ” ทำแต่เรื่องผิดทำนองคลองธรรม นรกนะเธอจ๋า
ธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ

ดังนั้น ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ มนุษย์คือ ผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ การดำรงชีวิตสอดคล้องธรรมชาติ ไม่ยาก
พวกฝืนธรรมชาติ คือพวกมนุษย์แต่กาย ส่วนใจหมกมั่ว-ใฝ่ต่ำ นี่แหละยาก
ยากเพราะ “ไม่รู้จักดี-ไม่รู้จักชั่ว”
เมามัว-มั่วอบาย ไร้ “สัมมาสติ” ประหนึ่งสัตว์!

พอดีวันวิสาขะปีนี้ เกิด “จันทรคราส” ที่เรียกกันว่า “ราหูอมจันทร์” ตั้งแต่ช่วงเวลา ๑๕.๔๗-๒๐.๕๐ น.
ทางดาราศาสตร์ ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ทางโหราศาสตร์ เห็นอึกทึก-ทักทายทางดี-ร้ายต่างๆนานา

เรื่องเหล่านี้ ฟังให้รู้ไว้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเหนือศาสตร์ด้วยปฏิเสธหรือเชื่อหัวทิ่ม-หัวตำ
ศาสตร์มีคุณค่า “มีที่มา-ที่ไป” ในความหมายร่องรอยจักรวาลและโลกทั้งสาม

ทางดาราศาสตร์ “LESA ชุดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์” ให้ความรู้ไว้ว่า
“ราหูอมจันทร์” จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ หรือคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์จันทรุปราคา มิสามารถเกิดขึ้นทุกเดือน เนื่องจากระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และระนาบที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก มิใช่ระนาบเดียวกัน หากตัดกันเป็นมุม ๕ องศา

ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดจันทรุปราคา จึงมีเพียงประมาณปีละ ๑-๒ ครั้ง โดยที่สามารถมองเห็นจากประเทศไทย เพียงปีละครั้ง
ก็คืนนี้แหละ ที่พระอาทิตย์-พระจันทร์จะ “แซนด์วิช” โลก!

แต่ทางไสยศาสตร์ เทวศาสตร์ พราหมณ์ศาสตร์ เรื่องพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหูนี่ มโหฬารพันลึกจริงๆ

ที่จริงทั้ง ๓ สืบสานเป็นพี่น้องกันมาก่อน จากกี่ภพ-กี่ชาตินุงนังยากหยั่งถึง แต่มาเหม็นหน้ากันตอน “กำเนิดดาวนพเคราะห์” นี่แหละ
กำเนิดเขาก็พิลึกกึกกือ….

“พระอิศวร” เอาหัวผีโขมด ๑๒ หัวมาป่น ห่อผ้าดำ พรมน้ำอมฤต เสกพรวด เป็นพระราหูตัวโตเท่าตึกใบหยก ครึ่งตัวบนเป็นยักษ์ ครึ่งล่างเป็นพญานาค
เป็นราหูนักเลงหัวไม้ มีดาวเสาร์เป็นเพื่อนซี้ เที่ยวเกะกะระรานชูหัว-ชูหางไปทั่ว

มีอยู่วัน แอบไปดื่มน้ำอมฤตของพระนารายณ์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์เห็น ไปฟ้องพระนารายณ์
พระนารายณ์ ก็ตกใจ ยุ่งแน่…มันจะมีฤทธิ์ไปสร้างความวุ่นวาย อยู่กันไม่เป็นสุขทั้งสามโลก

จึงขว้างจักรไปหมายสังหารตัดปัญหา แต่ว่าเจ้าราหูดื่มน้ำอมฤตไปแล้ว แม้ตัวขาด ๒ ท่อน แต่ไม่ตาย
ท่อนบนเป็นราหูจอมยักษ์ พญานาคท่อนล่าง กลายเป็นเทวดาอีกองค์ คือดาวพระเกตุ

เนี่ย….
ราหูจึงแค้นนัก ว่าพระอาทิตย์-พระจันทร์ เป็นพวกช่างฟ้อง เจอที่ไหนเป็นต้องจับเอามาซุกรักแร้ให้ดมขี้เต่าบ้าง จับอมให้เหม็นขี้ฟันซะบ้าง

ที่อม ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ตอนจับพระอาทิตย์อม เรียกสุริยคราส จับพระจันทร์อม เรียกจันทรคราส
และช่วงกลางวันต่อกลางคืน ของเพ็ญกลางเดือนหกวันนี้ ราหูก็จะจับพระจันทร์มาอมแก้แค้นอีกรอบ นั่นแล!

เจ้านักเลงโตราหูนี่ ทั้ง ๓ โลก ไม่กลัวใคร และใครก็ปราบไม่ได้
มีแต่ “พระพุทธเจ้า” พระองค์เดียวเท่านั้น ที่ราหูกลัวที่สุด แค่ได้ยินใครเอ่ยพระนามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยักษ์ราหูก็กลัวลนลานแล้ว

ในสมัยพุทธกาล มีตามคัมภีร์ว่า มีอยู่ครั้ง ราหูไล่จับพระอาทิตย์อม พวกเทวดากลัว ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้ทรงช่วย
พระพุทธองค์ตรัสเป็นธรรมกถา พวกเทวดาก็จำไป พอเจอเจ้ายักษ์ราหู ก็กล่าวธรรมกถานั้น
พอได้ยินพระธรรมกถาเท่านั้นแหละ เจ้านักเลงโตใน ๓ โลก มืออ่อน-ตีนอ่อน หัวใจแทบกระดอนจากปาก รีบคายพระอาทิตย์ หนีเตลิดไปเลย

ต่อมา ไปอวดฤทธิ์-อวดเดช ลองดีกับพระพุทธองค์ ถูกปราบซะต้องยอมสยบราบคาบ ขอเข้าถึงพระไตรสรณคมณ์ กลับตัว-กลับใจปฏิบัติธรรม
จนมีกล่าวไว้ว่า ต่อจาก “พระศรีอริยเมตตรัย” ที่จะอุบัติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ อีก ๒๕๐๐ ปี ข้างหน้า
ยักษ์ราหู ที่กลับตัวมาบำเพ็ญธรรมสร้างตบะบารมีด้วย “รู้ดี-รู้ชั่ว” นี้แหละ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๖ ในกัปต่อจากพระศรีอริยเมตตรัย

เขาว่างั้นนะครับ ก็ฟังไว้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ฉะนั้น “ราหูอมจันทร์” วันนี้ แค่ “พุทโธ” คำเดียว ตั้งไว้ในใจ ไม่ว่ายักษ์เล็ก-ยักษ์ใหญ่ หรือมนุษย์ยักษ์ตนไหน ที่มันชอบยักสิ่ง “สูง” ไปลง “ต่ำ”

นอกจากมันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ชีวิตมันจะตกตาย
ถ้าไม่กลับใจ “คืนฟากฝั่ง”!

 

Written By
More from plew
ลับแล “เมืองไทย” ในดรามา
วันนี้ มีเรื่องน่าสนใจ ๒ เรื่อง เรื่องแรก ๔ ยอดกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค “พลังประชารัฐ”
Read More
0 replies on “คราคราส “วันวิสาขะ”-เปลว สีเงิน”