ผักกาดหอม
มีหลายคนรวมทั้งแม่ๆ บอกให้ “เพนกวิน-รุ้ง” กินข้าว
พระพยอมถึงกับขอบิณฑบาต เอาแรงไว้ต่อสู้เมื่อฟ้าหลังฝน
“ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ผู้เฒ่าลัทธิสามนิ้ว เป็นอีกคนแสดงท่าทีว่า เขา/เธอ ควรยุติการอดอาหาร เพราะยาวนานเกินพอแล้ว
ภาพรวมใครๆ ในฝั่งที่ชื่นชม “เพนกวิน-รุ้ง” ต่างก็ออกมาบอกตรงกัน ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการกระทำอันกล้าหาญแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอารยะขัดขืน
สัตยาเคราะห์
อหิงสา
และสันติประชาธรรม
ทั้งคู่บรรลุหมด
ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่ทั้งคู่ควรได้กลับไปเรียนหนังสือ
เรียนให้จบ ป.ตรี ป.โท
รวมทั้งควรรักษาชีวิตไว้ เพื่อ ‘คนอื่น’
ครับ…พูดถึงวันนี้ ก็ต้องย้อนไปเมื่อวาน เพื่อจะไปวันพรุ่งนี้
ก่อน “เพนกวิน-รุ้ง” จะเข้าเรือนจำ ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่า ใครคือเบื้องหลังการเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนก็รู้ว่า หากทั้งคู่เคลื่อนไหวลักษณะที่ว่านี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายต้องจบที่เรือนจำ
การทำผิดกฎหมาย ในฐานความผิดเดิมซ้ำๆ ไม่ว่าฐานความผิดใดก็ตาม ล้วนส่งผลต่อการประกันตัวทุกกรณี
หากมีใครสักคนรอดจากกรณีเช่นนี้….
ถือว่ากระบวนการยุติธรรมมีปัญหา
“ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองของ “เพนกวิน-รุ้ง” ต่างก็รู้ดี และอยู่ในขบวนการที่ส่งเสริมให้ทั้งคู่จะประสบชะตากรรมเช่นนี้
ฉะนั้นก่อนจะเรียกร้องต่อกระบวนการยุติธรรม ขอให้ทั้งคู่ออกจากเรือนจำ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักคือ กฎหมายบ้านเมือง
อย่าเอาแต่อ้างว่ากฎหมายไม่ยุติธรรม
เพราะกฎหมายใช้บังคับกับคนเป็นล้านๆ มานับร้อยปีแล้ว
แค่ย้อนกลับไปดูพฤติกรรมผู้ต้องหา แล้วแก้ไขตรงนั้นก่อน
นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด ที่จะช่วยให้ผู้ต้องหาได้ประกันตัวในชั้นศาล
แต่ที่ห้องพิจารณา ๗๐๔ ศาลอาญา วานนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
กลับกลายว่ายังคงมีการท้าทาย และต้องการได้รับสิทธิทางกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ด้วยการต่อรองกับศาลต่อไป
ข่าวเขาบรรยายว่า
—————–
…..บรรยากาศในห้องพิจารณาคดี เพนกวินนั่งรถเข็น ห้อยสายน้ำเกลือ โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พร้อมทีมแพทย์คุมตัวเข้าห้องพิจารณาเช่นเคย
เพนกวินที่อดอาหารประท้วงมีร่างกายผอมลง อิดโรย
ดมยาดมอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ในช่วงการพิจารณาคดีนั้น มีบรรยากาศผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครั้งนัดตรวจหลักฐานคดีชุมนุม ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๖๓
สำหรับวันนี้ศาลและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้เพนกวินได้นั่งพูดคุยกับมารดา ญาติ ทนายความ และเพื่อนนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ๒ คน ร่วมพูดคุยปรึกษาหารือกัน โดยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันไวรัสโควิด-๑๙
ต่อมา อัยการโจทก์ได้เสนอพยานเข้าสืบจำนวน ๓๒ ปาก
แต่ “เพนกวิน” แถลงไม่รับพยาน
ขอแถลงต่อศาล พยายามลุกขึ้นจากรถเข็น แต่ไม่สามารถพยุงตัวลุกได้ ศาลจึงให้นั่งแถลงผ่านไมโครโฟน “เพนกวิน” กล่าวอย่างช้าๆ น้ำเสียงเปลี่ยนไปไม่มีแรงเหมือนเดิม ระบุว่า
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ เนื่องด้วยข้าพเจ้ายังไม่ต้องคำพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมายมาตราใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ศาลคุมขังข้าพเจ้าไว้ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
ดังนั้น กระบวนการนี้ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม จึงไม่ขอยอมรับ ขอปฏิเสธทุกกระบวนการ ไม่ลงลายมือชื่อใดๆ จนกว่าจะได้รับสิทธิ์การประกันตัวแล้วสู้คดีอย่างเต็มที่”
ศาลอธิบายให้เพนกวินฟังว่า
“กระบวนการในวันนี้เป็นการนัดตรวจพยานหลักฐาน ถ้าไม่กำหนดวันนัดคดีเพื่อสืบพยานก็จะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเพนกวินปฏิเสธไม่ยอมรับกระบวนการก็จะบันทึกที่เพนกวินแถลง”
เพนกวินกล่าวตอบว่า
“ขอปฏิเสธ เพราะไม่ได้ประกันตัว ทำให้ต่อสู้คดีได้ไม่เต็มที่ และขอถอนทนายความไปพร้อมกัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
———————-
ครับ…เมื่อไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่มีหนทางใดช่วยให้ “เพนกวิน” พ้นเรือนจำได้
แน่นอนครับ “เพนกวิน” ใช้เกมนี้บีบศาล เพราะนอกเรือนจำมีขบวนการโจมตีศาล เรื่อยไปจนถึงการฟ้องต่างชาติ ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หนักถึงขั้นโจมตีว่า กระบวนการยุติธรรมไทย คือฉากหน้าขององค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินการโดยรัฐ
มีเป้าหมายเพื่อให้ต่างชาติแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย
เงื่อนไขการประกันตัว ศาลต้องเป็นผู้กำหนดตามพฤติกรรมของผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง หรือจำเลย เท่านั้น
ไม่ควรมีเงื่อนไขจากการต่อรอง ขู่เข็ญบังคับศาล
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการ อดข้าว ใช้ต่างชาติกดดัน หรือวิธีใดก็แล้วแต่
หากได้ประกันตัวเพราะต่อรองศาล
ก็จะพังทั้งระบบ
เข้าใจว่าอาจารย์สอนกฎหมายธรรมศาสตร์ที่ยุเด็กอยู่ข้างหลังก็รู้เรื่องพวกนี้ดี
อีกหลายประเด็นที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่ เช่นกรณีแม่เพนกวิน บอกว่า เพนกวินยอมตายแล้ว ศาลจะรับผิดชอบไหวไหม
ในเรือนจำมีหมอครับ หากอาการไม่ดีจริงๆ ราชทัณฑ์จะส่งไปโรงพยาบาล เป็นหลักปฏิบัติที่มีมานานแล้ว
ฉะนั้นอย่าเอาความเข้าใจผิดนี้ไปสร้างเป็นประเด็นดรามา ทำให้ศาลเป็นปีศาจ
เว้นเสียว่าเรายอมรับให้กระบวนการยุติธรรมสร้างมาตรฐานสำหรับเพนกวินโดยเฉพาะขึ้นมา
จะเอาแบบนั้นหรือ?.