เปลว สีเงิน
สงกรานต์ปีนี้ เงียบเสียง “รื่นเริงสงกรานต์”!
ถูกคำว่า “โควิด” กลบหมด
คนโน้นเป็น-คนนี้เป็น ทำเอาผมพลอยเป็นไปด้วย เป็นโควิดหรือเป็นโรคจิตหลอน ก็พอๆ กัน
ยิ่ง ๓ วันก่อน เห็นหมอ “พระเอกหน้าจอเฟซ” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ด้วยข้อความสรุป ว่า
“วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เราใช้ ๑ ใน ๒ ตัว สามารถป้องกันการติดเชื้อได้แค่ ๒%
ส่วนซิโนแวคของจีน ไม่มีข้อมูลปรากฏว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้
ซึ่ง ๒ ตัวของเรา ดูท่าทางจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้”
ตายละกู….
ระดับอาจารย์แพทย์ฟันธง ไม่เชื่อหมอแล้วจะไปเชื่อหมาที่ไหน ถ้าจริงอย่างที่คุณหมอพูด เอาฟอร์มาลีนมาฉีดแทนล่วงหน้าจะดีกว่ามั้ย?
คุณหมอก็ (ฉีด) ด้วย!
คุณหมอธีระนี่ น่าจะเป็น “หมอสวน” เพราะตั้งแต่โควิดระบาด สาธารณสุขไปทางซ้าย คุณหมอจะสวนไปทางขวา ถ้าเขาไปขวา คุณหมอก็จะสวนไปซ้าย
บอกตรงๆ ผมมึนตึ๊บด้วยไม่รู้จะเชื่อใครมาเป็นปีแล้ว ยังนึกอยู่ในใจ ให้หมอธีระมาเป็นปลัดฯ สาธารณสุขซะเลยเป็นไง
เป็นรัฐมนตรียิ่งดี เห็นรู้สารพัดเรื่อง!
ที่ผ่านๆ มา ถือซะว่าเป็นความเห็นทางวิชาการจากอาจารย์แพทย์ ใครไม่ชอบใจ เอ็นจีโอและรุ่นใหม่สามนิ้วชอบ ก็โอเค.
แต่ที่โพสต์สวนชนิดสุดลิ่มดากว่า แอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ที่ไทยใช้ ป้องกันการติดเชื้อโควิดแค่ ๒%
แหม…
คุณหมอเล่นสวนชนิด “ประสานงา” แบบนี้ รัฐบาล, สาธารณสุข, ผู้โดยสาร คือชาวบ้าน ไม่แค่สาหัส แต่ “คว่ำลงเหว” ตายทั้งคัน
ยังดีนะ ที่เมื่อวาน (๑๑ เมย.๖๔) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข
ออกมาโพสต์เฟซด้วยข้อความ ดังนี้
“ขอเตือนอาจารย์ธีระ คิดพิจารณาให้ดีก่อนเขียน ก่อนพูด มิใช่สร้างความดังบนความกลัว ความสับสนของพี่น้องประชาชน และโจมตีอย่างเดียว กรุณาใช้ข้อมูลและหลักวิชาการที่ถูกต้อง
เวลานี้ สังคม ต้องอาศัยสติ ปัญญา ความปรารถนาดี ร่วมแรงร่วมใจครับ
ในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฯ กระทรวงสาธารณสุข เช้าวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ได้มีการพูดกันในประเด็น
ให้เตือน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และขอให้ทางผู้บังคับบัญชา ช่วยกำกับดูแลด้วย ทั้งในประเด็นพูดขาดหลักวิชาการ สร้างความสับสนให้ประชาชน และอาจพิจารณาดำเนินคดี กรณีสร้างความเสียหายให้เกิดแก่ผู้อื่น
อาจารย์ธีระเขียนและพูดออกสื่อโจมตีมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขทำอย่างเต็มที่ว่า…
“ไม่ได้ผล ประชาชนพึ่งไม่ได้” เป็น “มาตรการเทเลทับบี้”
– แนะนำเวลาออกจากบ้านให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยสองชั้น ป้องกันแบบตัวใครตัวมัน
– โจมตีการดำเนินงานเรื่องวัคซีน ให้ข้อมูลวัคซีนที่ใช้อยู่สองยี่ห้อในประเทศไทยเวลานี้ประสิทธิภาพป้องกันเชื้อโรคต่ำมาก หรือป้องกันไม่ได้
หมอขอเตือนอาจารย์ธีระอีกครั้ง ……
สำหรับคนที่ No action talk only สบายมากครับ พูดอย่างเดียว ไม่ทำอะไร ไม่มีผิด
แต่คราวนี้ พูดอย่างเดียว ยังผิดหลักวิชาการ พูดโจมตีผิดๆ และสร้างความสับสนกับประชาชน
หมอขอให้อาจารย์ธีระ อ่านข้อ 2 ที่อาจารย์พูดอีกครั้ง และโปรดพิจารณาว่า ถูกหลักวิชาการ หรือไม่
เช่น วัคซีนป้องกันการติดเชื้อต่ำมาก หรือโจมตีการทำงานพวกเรา
ขอเรียนอาจารย์ธีระ ทราบว่า โปรดกลับไปอ่านข้อมูลเรื่องวัคซีนใหม่
วัคซีนทั้งสองชนิดที่ฉีดในประเทศไทย ป้องกันการติดเชื้อได้ ลดโอกาสป่วย ลดความรุนแรงของโรคและโอกาสเสียชีวิตครับ
หัวใจที่หล่นหายค่อยกลับได้คืนหน่อย หลังจากอ่านที่คุณหมอธีระโพสต์แล้ว เหมือนถูกซีอุยผ่าแล้วควักเอาไปทำซกเล็ก!
เมื่อวานโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ก็โพสต์เฟซ เป็นประกาศจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ชี้แจงถึงประเด็นคุณหมอ talk only ว่า……
“ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19
รวมถึงเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านหนึ่ง
ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า
ข้อมูลเหล่านั้น เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของอาจารย์ท่านนั้นเพียงผู้เดียว มิใช่เป็นความเห็นทางวิชาการขององค์กรของเรา
และเรายังยืนยันที่จะเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญต่อสาธารณชน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ดังที่เราได้ปฏิบัติเสมอมาผ่านแหล่งข้อมูลหลัก
ในนามองค์กรของเรา…..
ทั้งนี้ เรายังสนับสนุนให้คนไทยทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยถ้วนหน้า เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคโดยเร็วที่สุด
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔
เรื่องหมอ-เรื่องยา ชาวบ้านอย่างผม ไม่มีความรู้จะไปเถียง ใครพูด ลองมีคำว่านายแพทย์พะหน้า ก็ต้องน้อมรับ-น้อมฟังสถานเดียว
แต่เรื่องโควิด มันไม่ใช่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเฉพาะราย มันเป็นโรคระบาด นั่นคือ จะใช้ความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียวรับมือ คงไม่พอ
เพราะ “รูปแบบ” การระบาด มันเปลี่ยนไปได้ทุกวัน ทุกสถานการณ์
เหมือนในสมรภูมิสู้รบ มันมี ๒ ฝ่าย คือฝ่ายโจมตีกับฝ่ายตั้งรับ ฉะนั้น วางแผนสู้รบตายตัวไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลอดเวลา
อย่างกรณีวัคซีน จากสถานการณ์ระบาดรอบแรก ให้กระทรวงสาธรณสุข “ฝ่ายเดียว” จัดหาวัคซีน
มันก็โอเค.
แต่มารอบ ๓ ตอนนี้ ฝ่ายโจมตีเห็นว่าเรา “เอาอยู่” คือตั้งรับได้ มันตีรุกกินปอดชาวเมืองไม่ได้
เขาก็ปรับเปลี่ยนทั้งแผนการบุก ทั้งหน่วยโจมตี จากเชื้อธรรมดา เป็นเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ มาไว-ระบาดไว
ทะลวงเจาะแนวต้านที่หละหลวมที่สุด คือ สถานบริการ ผับ บาร์ เลาจน์ เมื่อเมรัยถึงปาก นารีถึงตัก การ์ดก็ตก
รัฐทุ่มกำลังไปป้องกันด่านหน้า ฉีดเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการภาคสนามก่อน ภาคปฏิบัติกาม อันเป็นด่านใน คือตามสถานบริการยังไม่ฉีด
เลยเสร็จมัน…..
ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี บิ๊กรัฐวิสาหกิจ ระดับคนบันเทิง- ดารา ถึงระดับทูตญี่ปุ่น
“ไฮโซโควิด” กันเป็นแถว!
แต่แปลก ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า โควิดรอบนี้ สมพงษ์กับคนในแวดวง “ระบบราง” เป็นพิเศษ?
เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ จะให้สาธารณสุข “รับผิดชอบแต่ผู้เดียว” ในการจัดหาโควิด
ไม่ตอบโจทย์คลัสเตอร์ “ไฮโซโควิด”!
ดังนั้น การที่นายกฯ ปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ ให้โรงพยาบาลเอกชนจัดหา-จัดซื้อวัคซีนมาบริการ “ไฮโซโควิด” ได้ โดยตั้งคณะกรรมการประสานงานกับสาธารณสุข นั้น
ถือว่า “พลิกแพลงกระบวนท่า” ในทางบริหาร สอดคล้องสถานการณ์
ฝ่ายปฏิบัติการคือ “สาธารณสุข” ต้องเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เรียกเสียหน้า เสียหลักการหรอก
ลูกเต๋า “ตายหน้าเดียว” เจ้ามือหมดตูด
การทำงานเหมือนกัน อีโก้แต่ว่า “กูคืออำนาจรัฐ” ไม่รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ศึก ไปไม่รอดหรอก สุดท้าย พัง!
ทุกอย่างมันมี “ต้นทุน”
ยิ่งการค้นคว้า-ทดลองวัคซีนด้วยแล้ว ใช้ทุนมหาศาล นะโมของแต่ละบริษัทที่ผลิต คือ “เพื่อมนุษชาติ”
แต่หัวใจคือ “ธุรกิจ”!
เรื่องธุรกิจ ภาครัฐ พูดภาษาราชการ แต่ภาคเอกชน เขารู้ไต๋กัน ฉะนั้น เมื่อเขาบอกว่า สามารถติดต่อหาซื้อมาฉีดให้ลูกค้าเขาได้
ภาครัฐก็เปลี่ยนจากเชื่อ talk only ไปเชื่อ money talk ดูบ้าง พวกไฮโซโควิดจะได้ไปฉีดเสียเงิน ไม่มาแย่งวัคซีนจากพวก โลโซโควิด อย่างผม
เอาละ…
สงกรานต์แล้ว คุยเครียดไม่ดี พรุ่งนี้ค่อยเครียดกว่านี้ต่อ!