นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และพลต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรค นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล เเถลงต่อสื่อมวลชนหลังการโหวตพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระเเรก เเละประเด็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อกลุ่มผู้ชุมเมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 63) รวมถึงกรณีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ชุมนุมในอนาคต นายพิธา กล่าวว่า ถึงเเม้ว่ารัฐสภาจะรับหลักการในร่าง 1 และ 2 ซึ่งเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐบาลเเละฝ่านค้าน แต่ ส.ส. ฟากรัฐบาล เเละสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับหลักการในร่างของภาคประชาชน (iLaw) ในกรณีที่เกิดขึ้นพวกเราผิดหวังที่รัฐสภาทำลายความฝัน เเละผลักความขัดเเย้งไปสู่ท้องถนนอีกหนึ่งครั้ง
เเต่ที่น่าผิดหวังมากไปกว่านั้น คือการอภิปรายเเละทัศนคติของสมาชิกรัฐสภาฝ่ายรัฐสภาเเละ ส.ว. ที่กล่าวหาว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองเเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเป็นการอภิปรายที่อันตรายมากในการนำสถาบันมาเป็นเกราะกำบัง เป็นการกระทำที่จะนำประเทศไปสู่ความรุนแรงและทางตัน
นอกจากนี้ ยังมีระเบิดเวลาที่ยังไม่ถูกปลดออกคือ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ญัตติที่ 4 การยกเลิกอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี มาตรา 272 ยังคงอยู่ หากในอนาคตเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง นายกรัฐมนตรีลาออกหรือมีการยุบสภา แต่กฎกติกายังเหมือนเดิมความขัดแย้งเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเปิดได้อีกทุกเมื่อ
“สำหรับการใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลเป็นร่างหลักนั้น สิ่งที่ปัญหาคือ ที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ.ส.ร.ยังมาจากการแต่งตั้งจำนวน 50 คน จึงอาจนำสู่การล็อคสเปคของ สสร. ที่ไม่ยึดกับพื้นฐานประชาธิปไตย และถึงแม้ว่ารัฐสภาจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในวาระแรก แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านอย่างสันติได้ โดยพรรคก้าวไกลจะยังนำหลักสำคัญในร่างฉบับของประชาชนนำไปผลักดันต่อในชั้นกรรมาธิการวาระ 2 และ 3 พรรคก้าวไกลยืนยันมุ่งมั่นเพื่อให้อำนาจของ สสร.พิจารณาได้ถูกหมวด ทุกมาตรา เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตจำนงของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นายพิธากล่าว
ด้าน นายชัยธวัช กล่าวถึงกรณีการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 63) ว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส.ส.ของพรรคก้าวไกลได้ไปสังเกตการณ์ตลอดทั้งวันซึ่งพบว่า การควบคุมการชุมนุมมีความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีการฉีดน้ำแรงดันสูงมีการใช้แก๊สน้ำตา โดยเป็นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ได้สัดส่วนกับข้อเท็จจริง ทั้งยังเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่เป็นไปตามหลักสากล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บมากถึง 55 คน รวมทั้งมีประชาชนถูกแก๊สน้ำตาจนส่งผลให้มีอาการแพ้อย่างรุนแรง 32 คนเป็นอย่างน้อย
เลขาธิการพรรคก้าวไกลยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการปฏิบัติสองมาตรฐานระหว่างผู้ชุมนุมคณะราษฎรกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง และปล่อยให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนสองกลุ่ม ทั้งนี้ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำคือการป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎคือเจ้าหน้าที่กลับไม่มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ในจุดที่มีความอ่อนไหว และปล่อยให้เกิดการปะทะทั้งในช่วงบ่ายและในยามวิกาล เหมือนตั้งใจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
ล่าสุดมีรายงานว่ามีผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรถูกยิงด้วยกระสุนจริง 6 ราย สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ตนและ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ไปสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆ และไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการถูกยิงและระเบิดปิงปองเมื่อคืนนี้
“ในการแถลงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เหตุผลอย่างไม่น่าจะรับได้ว่า สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่เข้าไปดูแลจุดปะทะเพราะเจ้าหน้าที่ต้องมีความเป็นกลาง ความเป็นกลางด้วยการอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ประชาชนปะทะกัน ถึงขั้นใช้ความรุนแรงแบบนี้ คงต้องบอกว่าเป็นมิติใหม่ของการดูแลความสงบเรียบร้อยที่ไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป” นายชัยธวัชกล่าว
นายชัยธวัช ยังได้ตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า มีตำรวจเป็นจำนวนมากมาดูลสถานที่ เหตุใดจึงปล่อยให้มีบุคคลบางกลุ่มใช้อาวุธร้ายแรงต่อผู้ชุมนุมอีกฝ่ายได้ โดยไม่มีการเข้าไประงับเหตุและไม่มีการดำเนินการใดๆต่อกลุ่มผู้ใช้อาวุธหลังก่อเหตุร้ายแรงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการดำเนินการต่อการชุมนุมโดยสงบของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งแจ้งข้อหาและออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างรวดเร็วเสมอ
“หากไม่มีการดำเนินคดีต่อผู้ใช้อาวุธอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่าเป็นการส่งสัญญาณจากผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรงว่า หลังจากนี้ผู้มีอำนาจเปิดทางอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองใช้อาวุธต่อนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนกลุ่มราษฎรที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจได้”
นอกจากนี้ น่ยชัยธวัชยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ผลการลงมติเช่นนี้ของทางรัฐสภาคือการปัดตกความฝันของประชาชน ซึ่งทางพรรคก้าวไกลได้มีความพยายามในการอภิปรายให้เห็นความสำคัญของนัยยะของเรื่องนี้ รวมทั้งรัฐสภาได้ทิ้งโอกาสสำคัญในการผนวกรวมความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากในสังคมไทย เป็นการสูญเสียของสภาในการมาสร้างพื้นที่ปลอดภัย เพื่อมาหาข้อยุติตามกระบวนการประชาธิปไตยอย่างสันติ หากเมื่อใดที่ประชาชนเห็นว่ากลไกรัฐสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้วจะเป็นอันตราย
ขณะที่ พลตำรวจตรีสุพิศาล ในฐานะรองหัวหน้าพรรค กล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุมในอนาคตว่า จะฝากไปถึงข้าราชการตำรวจที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้เเรงกดดันในขณะนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ปล่อยปละละเลยการเข้าไปควบคุมผู้ชุมนุมโดยสันติ เพราะผู้ชุมนุมใช้สิทธิเเละเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่ควรใช้การกระทำที่รุนเเรง อยากไปฝากไปยังผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ ควรจะมีการเจรจาต่อรองต่อผู้ชุมนุม เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสิ่งสำคัญคือการปฏิบัติผู้นำต้องจริงใจ เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมในอนาคต