จุดจบที่ “กวิ้น-ไมค์-รุ้ง” ต้องศึกษา

ผักกาดหอม

จะอยู่กันยังไง?
แบ่งข้าง แยกขั้ว เพราะความเห็นไม่ตรงกัน เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสังคมประชาธิปไตย
แต่จะไม่ธรรมดาขึ้นมาทันที เมื่อมีการบังคับขู่เข็ญให้เลือกข้าง

วันนี้กระแส Call Out การเมือง ปั่นป่วนไปทุกวงการ
ดารา นักร้อง นางงาม เซเลบ คนดัง ยันคนไม่ดัง กระอักกระอ่วนใจกันถ้วนหน้า
ความขัดแย้งทางความคิดเที่ยวนี้ ไม่เป็นธรรมชาติเอาเลย

ช่างเบ่งบานจริงๆ ประชาธิปไตยเห็นต่าง บีบให้เลือกข้างและเลิกคบ
จะดันทุรังไปแบบนี้กันอีกนานแค่ไหน
ปัญหาหลักไม่ได้มาจากการไล่รัฐบาล
ด่า “อีปู-เฮียตู่” สะใจ แล้วมันก็จบแค่นั้น
แต่เพราะจาบจ้วงไปถึงสถาบัน หยาบคาย ก้าวร้าว นี่คือปมปัญหา ทำให้ความขัดเแย้งถูกยกระดับจนเลยเพดาน

กรณี “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” คือตัวอย่าง
เป็นเหยื่อของการใช้เสรีภาพ แต่ไม่เคารพความเห็นต่าง

จำวันที่ “บิณฑ์” เปิดรับบริจาคช่วยน้ำท้วมได้เงินหลายร้อยล้านได้หรือเปล่า
คนเกลียดรัฐบาลด่า “ลุงตู่” กระเจิงว่าสู้ “บิณฑ์” ไม่ได้
ให้ “บิณฑ์” เป็นนายกฯ แทนดีกว่า

มาวันนี้ “บิณฑ์” ออกโรงปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เผลอพูดใครจาบจ้วงจะตบให้คว่ำ กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนที่เคยชื่นชมทันที

ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับบริษัทที่ไล่ “แม่เพนกวิน” ออกจากงาน ด้วยเหตุผล เพราะ “เพนกวิน” ไม่จงรักภักดีสถาบัน
ถึงเป็นแม่ลูก แต่คนละคนกัน

แต่เมื่อเทียบกับระหว่าง “แม่เพนกวิน” กับ “บิณฑ์” ด้วยมาตรฐานความรู้สึกเดียวกัน กรณีของ “บิณฑ์” สะท้อนถึงความเกลียดชังที่เลยเพดานมากกว่า

คนหนึ่งออกมาประกาศปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับถูกด่า ทำให้ด้อยค่า ไล่ล่าไม่ให้มีที่ยืนในสังคม

อีกคนถูกให้รับผิดชอบแทนลูกที่มีพฤติกรรมโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง เพราะมองว่า พ่อแม่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร
เมื่อเลยธงการเมือง ข้ามไปเหยียบย่ำสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

เห็นด่า คุณอานันท์ ปันยารชุน กันเยอะ เพื่อความเป็นธรรม ลองอ่านคำสัมภาษณ์ที่ถอดความมาอย่างละเอียด นะครับ

…เรื่องหนึ่งที่ผมว่าจะเป็นปัญหา แต่ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดว่าควรหรือไม่ควรทำนะ แต่เด็กยืนยันว่าท่านนายกรัฐมนตรีเป็นตัวปัญหานะ คนรุ่นใหม่เขามองว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนเดียวที่สามารถปลดล็อกได้ จะปลดล็อกด้วยวิธีใดผมไม่รู้

ท่านจะไม่ลาออก ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ท่านต้องรู้นะ ว่าเขาเรียกร้องอย่างนั้น แล้วถ้าจะเถียงกับคนรุ่นใหม่อ้างปัญหากฎหมาย อ้างกฎเกณฑ์ต่างๆ มันไปไม่ถึงไหน เพราะเด็กมองว่ามันผิดมา ๗ ปีแล้ว คุณอาจจะไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่เห็นด้วยทุกอย่างนะ แต่พยายามเข้าใจ เหมือน

อย่างผมพยายามทำความเข้าใจสถานะของท่านนายกรัฐมนตรี หรือสถานะของรัฐบาลเหมือนกัน แต่ถ้ามันไม่เข้าใจซึ่งกันและกันก็ต้องคุยกัน

ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปร่วมด้วยทั้งสองฝ่าย มันมีมากกว่าสองฝ่ายหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่เริ่มต้นสมมุติฐานก็ผิดกันแล้ว เด็กเริ่มต้นจาก ๗ ปีที่แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีเริ่มต้นบอกว่าทำอะไรผิด

พูดคนละภาษา เด็กพูดภาษาดิจิทัล รัฐบาลตอนนี้พูดภาษาแอนะล็อก สงครามต่อสู้กันคนละสนาม ไม่เคยเจอกัน แล้วพูดคนละประเด็น

ผมถึงบอกว่าในสังคมโลกเขาพูดกันเลยว่า คุณจะมีสันติภาพไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีความยุติธรรม….

ว่ากันตามตัวอักษร อย่าไปผลักให้คุณอานันท์ไปอยู่ข้างไหน เพราะเนื้อหาที่พูดออกมา บอกกล่าวถึงสถานการณ์ และความคิดของแต่ละฝ่ายมากกว่า

เด็กคิดอย่างไร
“ลุงตู่” คิดแบบไหน

ปัญหาของเด็กที่คิดมา ๗ ปีแล้ว นี้ใช่ว่าจะแก้ยาก แค่ถอยหลังกลับไปยืนในจุดเริ่มแรก เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลลาออก

หากยังดันทุรัง ก้าวร้าว หยาบคาย ไปถึงเบื้องสูง เหยื่อของความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อย่าให้เลยเถิดไปถึงขั้นต้องแยกกันอยู่
น่าประหลาดใจ ยามนี้ นักสันติวิธี หายหัวไปไหนกันหมด

ไม่ออกมามีข้อเสนอ หรือคำแนะนำ ให้ม็อบลดความก้าวร้าว รุนแรง และ หยาบคายลง
ที่ผ่านมาไม่มีม็อบที่ไหนไม่หยาบคาย
ก็หยาบคายกันทั้งนั้น แต่…อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ผิดกับม็อบเยาวชน คนรุ่นใหม่ ที่อุดมไปด้วยภูมิปัญญาใหม่ๆ กลับปราศรัยหนึ่งคำ ด่าไปห้าคำ สบถอีกเป็นสิบ
ม็อบที่ดีไม่จำเป็นต้องหยาบคาย
การนำเสนอปัญหา ไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว เพื่อสร้างความสะใจให้กับมวลชน
เนื้อหาไม่จำเป็นต้องทะลุเพดาน จนไม่สามารถนำไปสู่ผลสำเร็จได้
แต่ม็อบเยาวชนมีครบ

แทนที่จะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับประเทศ
สุดท้าย…ย้อนเข้าตัว

ดูแกนนำม็อบฮ่องกงเป็นตัวอย่าง
ปลายเดือนที่แล้ว บีบีซี เผยแพร่บทความ ภาพสะท้อนและการเปลี่ยนแปลงหลังการจับกุมแกนนำม็อบฮองกง ลองศึกษาดู

……..หลังจากการใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง ภาคประชาสังคมในฮ่องกงแสดงอาการนิ่งเฉยทางการเมือง
และคำขวัญเช่น “HongKong Independence” และ “Recover HongKong, Revolution of the Times” ได้หายไปบนท้องถนน

Zhong Hanlin วัย ๑๙ ปีเคยเป็นผู้ชุมนุมขององค์กร “HongKong Independence” “Student Dongyuan” เขาเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงมัธยมต้นเขาเรียกตัวเองว่า “Brave Faction”

Zhong Hanlin ถูกควบคุมตัว หลังพยายามเข้าไปขอลี้ภัยในสถานกงสุลสหรัฐประจำฮ่องกง
แต่ถูกปฏิเสธจากสถานกงสุล ทั้งๆ ที่ช่วงการชุมนุม สหรัฐสนับสนุนผู้ชุมนุมจนออกนอกหน้า และกลายเป็นหนึ่งในข้อพิพาทกับจีน

นอกจาก Zhong Hanlin ต้องเผชิญกับมีโทษจำคุก ๓ ปี- ตลอดชีวิต
ที่สำคัญถูกครอบครัวตัดขาด
ส่วนแนวร่วมที่เคยชุมนุมกันมาหลายคนลี้ภัยไปก่อนแล้ว

เขาบอกกับ บีบีซีว่า “ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาคาดการณ์ว่าเขาจะถูกจับกุมเนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ “

Zhong Hanlin บอกว่า ตอนนี้มีคนเพียงไม่กี่คนในฮ่องกงที่กล้าพูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการสนับสนุน เอกราชฮ่องกง
เขาเผยว่าการประท้วงแบบสันติอหิงสาที่ผ่านมาไม่สามารถนำชัยชนะมาได้ จึงประกาศใช้ทุกวิถีทาง รวมทั้งการก่อจลาจล เพื่อเรียกร้องให้ฮ่องกงเป็นเอกราช


แต่การใช้ความรุนแรงจนล้ำเส้นได้ทำให้รัฐบาลจีนได้เปรียบ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
หลังถูกดำเนินคดี Zhong Hanlin ยอมรับว่า ผู้ชุมนุมอาจปลอบใจตัวเองว่าชนะแล้ว ที่ทำให้รัฐบาลถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้สำเร็จ แต่ว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ถูกจับกุมจำนวนมาก สูญสิ้นทุกสิ่ง

“ผมไม่คิดว่านี่จะเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะ”
“เราต้องกลับมาคิดใหม่ว่า นอกจากการประท้วงบนท้องถนนแล้วยังมีวิถีทางอื่นหรือไม่

Zhong Hanlin ยอมรับว่าการประท้วงโดยไม่มีแกนนำ ทำให้ผู้ประท้วงไม่อาจสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
หลายคนคิดว่ามีคนออกมาเต็มท้องถนน และใกล้ได้รับชัยชนะ จึงกดดันรัฐบาลต่อเนื่อง ไม่ยอมรับการเจรจา และกลับไม่รู้ว่าใครคือตัวแทนของผู้ชุมนุม


Zhong Hanlin อาศัยอยู่กับปู่ของเขาตั้งแต่พ่อแม่หย่าร้างกัน เมื่อเขายังเด็ก
“หลังจากได้ประกันตัวผมพยายามโทรหาพ่อและปู่ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา WhatsApp ยังยกเลิกบัญชีของผมและขาดการติดต่อกับครอบครัว ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน

ผมมีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกับครอบครัวมาก หลังจากที่ผมได้รับการประกันตัวเขาก็ไม่เคยโทรมาหาผมเลยดูเหมือนโลกใบนี้จะหายไป”

ขณะนี้ Zhong Hanlin อาศัยอยู่กับผู้ประท้วงคนอื่นๆ
ไม่มีงานทำ อาศัยผู้สนับสนุนบางคนให้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อดำรงชีวิต
แต่ Zhong Hanlin มีคดีความหลายคดี
นอกจากคดีกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติแล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทำลายธงชาติอีกด้วย

เมื่อปีที่แล้วเขาลาออกจากโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมการประท้วง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่เขาเชื่อว่า จะไม่สามารถเรียนให้จบได้…….

ครับ…นั่นคือผลของการต่อสู้ทะลุเพดาน เลยรากเหง้าของตัวเองไป
สำหรับแกนนำม็อบ ๓ นิ้ว ศึกษาเรื่องนี้ไว้ก็ไม่เสียหลาย


การต่อสู้มีระดับของมัน
หากเลยเถิดเกินความต้องการของผู้คนในสังคม ผลลัพธ์อาจไม่ต่างแกนนำม็อบฮ่องกง
“กวิ้น-ไมค์-รุ้ง” อาจกำลังคิดอยู่ในตอนนี้

Written By
More from pp
“ศุภมาศ” รมว. อว. สั่งการ “ทีม DSS” ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มตู้หยอดเหรียญเพื่อสร้างมาตรการความปลอดภัยแก่ประชาชน
9 กุมภาพันธ์ 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สั่งการให้ทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว (DSS Team)...
Read More
0 replies on “จุดจบที่ “กวิ้น-ไมค์-รุ้ง” ต้องศึกษา”