ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
บ้านพี่อยู่สุโขทัย..
เพราะบ้านพี่ไฟไหม้ ขอลามาไกลทิ้งถิ่น ดั่งคนจรขาดที่นอนที่อยู่ที่กิน เปรียบเหมือนเป็นเช่นนกขมิ้น ยุพินจงโปรดเห็นใจ
นี่..คงพอจะจำกันได้ ทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์ครั้งไฟไหม้ “จังหวัดสุโขทัย” ทั้งบทเพลง “สุโขทัยระทม” ที่ครูจิ๋ว พิจิตร ได้แต่งขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงในขณะนั้น
ทั้งยังจะเป็นเพลงแรกในชีวิตที่คุณเพชร โพธาราม ได้บันทึกเสียงจนโด่งดังมีชื่อเสียง ก่อนที่คุณสายัณห์ นิรันดร จะนำมาร้องบันทึกเสียงใหม่ จนเป็นเพลงฮิตอีกยุคสมัย!
และที่ให้นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา ก็ด้วยได้ดูข่าวที่คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กับพลพรรค “จิตอาสา” ได้พากันไปลุยน้ำ (อีกแล้ว) เพื่อนำอาหาร น้ำดื่ม หยูกยา..
เข้าไปยื่นให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จ.สุโขทัย ที่บ้านเรือนกำลังจมน้ำอยู่ในขณะนี้!
ก็..อย่าสงสัยกันอยู่เลย ว่าน้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง หรือฝนแล้งดีกว่าไฟไหม้ เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรใน 3 อย่างนี้ที่ไม่เกี่ยวกับ “3นิ้ว” ล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ยาก ลำบากพอๆ กัน!
ตอนนี้ คุณบิณฑ์กับคณะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐได้ลงไปช่วยกันบรรเทาทุกข์บำรุงสุข (เฉพาะหน้า) ให้ชาวบ้านได้พอคลายความเดือดร้อนอยู่
เรา-ผู้ที่อย่างห่างไกล หากพอจะช่วยอะไรได้ ก็ช่วยเถอะนะ คนละไม้คนละมือ จะบริจาคเงิน บริจาคสิ่งของ ก็ทำเท่าที่กำลังมี!
พูดถึงคุณบิณฑ์ก็อยากเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในฐานะ “กัลยาณมิตร” ไม่ได้ห่วงกับคำให้สัมภาษณ์คุณสุทธิคุณ กองทองไว้ว่า..
“เขาจะโกรธผมจะเกลียดผม ผมก็ไม่แคร์ เพราะรู้ว่าคนส่วนใหญ่เทิดทูนรักพระองค์ท่าน แต่ว่าคนส่วนน้อยๆ ไม่ต้องมารักไม่ต้องมาชื่นชมผม แต่คุณออกมาทำในลักษณะเช่นนี้ผมว่ามันไม่ถูกต้อง
เพราะคนไทยอีกกี่สิบล้านคนที่ต้องทนคนพวกนี้ที่มีความคิดอุบาทว์ของมัน มาเขียนว่าพระองค์ท่าน เอารูปมาตัดต่อผมดูแล้วมันเลวทรามมาก ทนไม่ได้เลยต้องออกมาเปิดตัวว่าแบบนี้
ถึงจะโกรธจะเกลียดไม่เป็นไร ถือว่าผมอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยความถูกต้องไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ฉะนั้นคุณจะด่าหรือคุณจะขับไล่ใครผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว ที่ผ่านมาการเมืองจะร้อนขนาดไหนก็ไม่เคยไปยุ่ง
ไม่เคยไปเวทีทั้งเหลืองทั้งแดง ซึ่งสิ่งที่ทนไม่ได้คือ อย่ามาแตะต้องพระองค์ท่าน ขอไว้สถาบันพระมหากษัตริย์คุณอย่ามาแตะต้อง ผมทนไม่ได้ ยังไงทั้งชีวิตผมตายก็ยอม” นี้หรอก
แต่ห่วงเรื่องของ “สุขภาพ” น่ะ เพราะทราบว่าปีนี้อายุอานามคุณบิณฑ์ก็จะย่างเข้า 60 แล้ว แม้ร่างกายจะดูแข็งแรงกล้ามเป็นมัดๆ กระนั้นก็ไม่อยากให้ใช้ชีวิตชนิดโหมหนักจนเกินไป
ลุยน้ำไปแจกข้าว-แจกของ หรือเดินแจกเงินช่วงโควิด-19 ยังพอไหว แต่ที่ไปแบกศพ ลุยไฟ ปีนเขา เข้าป่า และมุดถ้ำ ย่ำโคลนนั้น
ผมว่าเพลามือ เพลาแรงลงเสียบ้าง ปล่อยให้รุ่นน้อง-รุ่นหลังในร่วมกตัญญูเขาทำก็ไม่น่าจะขาดตกบกพร่องอะไร?
ที่พูด ไม่ได้ให้คุณบิณฑ์วางมือ เหมือนข้าราชการที่เขาเกษียณไปเลี้ยงลูก-เลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน เพราะเข้าใจดีว่า “งานจิตอาสา” มันอยู่ในสายเลือดที่ต้องทำกันไปจนหมดแรง เพียงแค่อยากให้ออมแรง..
ไว้สู้กับสิ่งที่ “ทนไม่ได้” เท่านั้นแหละ!