ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
วันนี้-28 กรกฎาคม “วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”..ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!
ครับ..แต่ก่อนจะนั่งล้อมวงอยู่กับ “คนทำหนัง” แทบทุกวัน-ค่ำ และมีคำถามหนึ่งที่มักได้ยินอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ.. “อนาคตหนังไทยจะไปทิศทางไหน”?
และทุกครั้งที่มีคนถาม ก็จะมีผู้ตอบด้วยหลักความรู้ เชิงวิชาการให้ได้ฟังอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยประจักษ์ว่า..เป็นจริงตามบทวิเคราะห์นั้น
อนาคตของหนังไทย จึงยังเป็นที่มืดมนสงสัยของผู้คนในวงการตลอดมา และก็น่าจะตลอดไป ตราบที่ “หนัง” หาใช่บะหมี่สำเร็จรูปที่ฉีกซองเทน้ำร้อนแล้วสวาปามได้ทันที
เหตุนี้ คนทำหนัง ก็ยังคงต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บนความเสี่ยงกับการ “วัดใจ” คนดูต่อไป เพราะไม่รู้จะทำหนังรสชาติแบบไหนให้ถูกจริต-ตรงรสนิยม
มีผู้กำกับบางท่านได้วิเคราะห์-มอง ทุกวันนี้คนในสังคมเครียดง่าย-โกรธไวไร้อารมณ์ขัน วันๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาด่าทอกันอยู่บนหน้าจอมือถือ
คนทำหนังก็เลยพากันเสิร์ฟหนังผี หนังตลก ด้วยคิดเอาว่าจะเป็นยาคลายเครียด ตอบสนองอารมณ์คนดูได้ แต่เอาเข้าจริง..
คนที่เครียดคับแค้นโกรธ (เป็นสันดาน) กลับมองหนังตลกอย่างน่ารำคาญ ให้รู้สึกขัดหู-ขัดตา หรือหนักหน่อยก็จะว่า “อีเดียต” ปัญญาอ่อน ไปโน่น!
นี่..เห็นจะเป็นความจริงอยู่ เพราะเท่าที่ดูจากหนังไทยแนวตลกหลายเรื่องที่เข้าฉายพากันเจ๊งระเนระนาดไปตามๆ กัน ถึงขนาดคนทำหนัง “เอาฮาลูกเดียว” คุณพชร์ อานนท์ ยังบ่นกระปอดกระแปด
แล้วอย่างงี้จะไม่ให้มีคนถามได้อย่างไร.. “อนาคตหนังไทยจะไปทิศทางไหน”
อย่างไรก็ตาม หนังไทยจะไปทิศทางไหนในอนาคต ก็เป็นเรื่องวิตกกังวลแต่เฉพาะผู้คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่กับคำถาม “อนาคตประเทศไทยจะไปทางไหน”?
ดูจะเป็นความวิตกทุกข์กังวลอย่างหนักของคนไทยทั้งประเทศอยู่ณขณะนี้ ซึ่งคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมจะประสบกับภาวะการเลี้ยงดูลูกหลานเป็นอย่างดี..
เด็กยุคสมัยนี้ อารมณ์เกรี้ยวกราด หยาบคาย หงุดหงิดโมโหง่าย เอาแต่ใจ และไม่ค่อยจะเชื่อฟังบุพการีกันสักเท่าไร?
ฉะนั้น ที่จะหวังการพูดการเตือนหรือให้สติกับลูกๆ หลานๆ ที่ออกมาจับกลุ่มรวมตัวกันชูป้ายประท้วงเรียกร้องเอาตามใจต้องการ ทั้งอย่าก้าวล่วงสถาบันก็ดี อย่าตกเป็นเครื่องมือสมคบคิดก็ดี
หรืออย่าใช้วาจาหยาบคาย ถ่อย เถื่อนก็ดี อย่าตกเป็นเครื่องมือนักการเมืองก็ดี..ผมมองว่าพูด-เตือนไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า ขนาดพ่อ-แม่ เด็กยังไม่ (ค่อย) ฟัง..
แล้วเรา..สื่อบ้าง นักคิดนักเขียน นักวิชาการบ้าง หมอบ้าง ทหารบ้าง นักการเมืองบ้าง แกนนำม็อบบ้าง ตำรวจบ้าง เป็นใครกัน ที่จะมาสั่งสอนพวกเขา..หือ?
ทางที่ดีผู้ใหญ่อย่างเราต้องช่วยกันเพลาๆการพูดการเตือนการวิจารณ์ หรือพูดง่ายๆ “สงบปากสงบคำ” ลงเสียหน่อย น่าจะช่วยลดความตึงเครียด ความขัดแย้งลงได้บ้าง
ในเมื่อพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง ยิ่งเตือนก็ยิ่งเถียง ยิ่งห้ามก็ยิ่งออกฤทธิ์สำแดงเดช ถ้าเรา-พ่อแม่ไม่เงียบปากเสีย ก็ต้องจบลงด้วย..
ทำร้ายลูกสถานเดียว..จริงป่ะ?