ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2568 มีมติเห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พ.ศ. 2567–2570 ให้พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ก้าวสู่การเป็น เมืองอัจฉริยะ (Smart City) และ ศูนย์กลางข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลของอาเซียน (ASEAN Digital Hub)
นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แผนดังกล่าวเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและข้อมูลเมือง (City Data Platform) มาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเมืองแบบบูรณาการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวางผังเมือง ความปลอดภัย และการให้บริการภาครัฐในพื้นที่อีอีซีอย่างเป็นรูปธรรม
โครงการเมืองอัจฉริยะในอีอีซีเน้นการพัฒนาใน 7 มิติ ได้แก่ Smart Mobility, Smart Living, Smart Environment, Smart Governance, Smart Economy, Smart People และ Smart Energy เช่น ระบบจราจรอัจฉริยะ กล้องความปลอดภัยอัจฉริยะ การบริหารมลพิษและพลังงานสะอาด รวมถึงระบบบริการภาครัฐผ่านดิจิทัลไอดี ลดขั้นตอนและลดการใช้เอกสาร
พร้อมกันนี้ ยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค ได้แก่
Thailand Digital Valley เพื่อเป็นฐานด้าน AI – Robotics – IoT และเป็นพื้นที่ทดสอบ (Sandbox) สำหรับธุรกิจเทคโนโลยี
โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ รองรับ Data Center และ Cloud Provider ระดับโลก
ระบบบริการภาครัฐแบบดิจิทัลครบวงจร (One-Stop Service / Digital ID) ทำให้การอนุญาตและการเริ่มโครงการต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า แผนนี้ออกแบบโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป้าหมายไม่เพียงดึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่เพื่อให้ประชาชน “อยู่ดี ปลอดภัย ฉลาด และยั่งยืน” จากเทคโนโลยี เช่น การแจ้งเตือนภัยอัตโนมัติในพื้นที่สาธารณะ การเข้าถึงบริการรัฐแบบไร้เอกสาร และข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์
ผลลัพธ์คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2570 ได้แก่
มูลค่าการลงทุนด้านดิจิทัลมากกว่า 35,000 ล้านบาท
พัฒนาอย่างน้อย 100 พื้นที่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ
ประชาชนในพื้นที่อีอีซี มากกว่า 80% เข้าถึงบริการภาครัฐผ่านดิจิทัลได้ทั้งหมด
“เป้าหมายของ Smart City ในอีอีซี ไม่ใช่แค่สร้างเมืองให้ทันสมัย แต่คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
