ตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

“อุ๊งอิ๊ง” ไม่รอดครับ…

ส่วนประเทศไทยรอดแบบเนือยๆ

สรุปคือ… “อุ๊งอิ๊ง” ไม่มีผลต่อการอยู่รอดหรือไม่รอดของประเทศเลยแม้แต่น้อย

แต่ทำไมจู่ๆ ผมกลับนึกถึงรัฐบาล “อานันท์ ๒” ซะงั้น

เดี๋ยวมาว่ากัน

ไปดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ๖ ต่อ ๓ ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กันก่อน

มีอยู่ ๒ ประเด็น

๑.ซื่อสัตย์สุจริต

และ ๒.ละเมิดจริยธรรมร้ายแรง

ประเด็นซื่อสัตย์สุจริต ศาลวินิจฉัยว่า

“…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าระหว่างคุยกับสมเด็จฮุน เซน สถานการณ์มีความตึงเครียดสูง แม้จะมีประชุมเจบีซี แต่สมเด็จฮุน เซน กดดันให้ไทยเปิดด่าน เรียกแรงงานกลับ ผู้ถูกร้องจึงเจรจา แต่ไม่พบว่ามีการตอบรับข้อเสนอใดๆ ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๒ ไม่ส่งผลต่อการเปิดด่าน ไม่ได้ทำตามข้อเสนอ การไม่ซื่อสัตย์สุจริตจึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ…”

ประเด็นนี้จึงตกไป

ประเด็น ละเมิดจริยธรรมร้ายแรง ศาลวินิจฉัยว่า

“…แม้จะกล่าวอ้างว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว ให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง กระทบชีวิตทหารประชาชน แต่เมื่อการกระทำส่งผลกระทบภาพลักษณ์ เสียหายว่าคำนึงประโยชน์กัมพูชามากกว่า ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง เสียหายต่อเกียรติศักดิ์นายกฯ ปฏิบัติราชการไม่คำนึงประโยชน์ชาติ

ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เมื่อพิจารณาถึงเจตนา จึงเป็นเรื่องร้ายแรง จึงมีพฤติกรรมฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ทำให้ขาดคุณสมบัติตาม รธน. ๑๖๕…”

รัฐบาลไปทั้งยวง!

นึกถึงรัฐบาลอานันท์ ๒ ครับ

“อานันท์ ปันยารชุน” ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕

ดำรงตำแหน่งถึงวันที่ ๒๓ กันยายน ปีเดียวกัน

รวมระยะเวลา ๓ เดือน ๙ วัน

ที่น่าสนใจคือภารกิจ

รัฐบาลนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อ จัดการเลือกตั้ง หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เท่านั้น

ฉะนั้นการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภา จึงไม่มีอะไรยืดยาว

ใจความในการแถลงนโยบายความยาว ๒ หน้ากระดาษ A4 ขณะนั้นคือ

“…คณะรัฐมนตรีนี้ได้จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะกิจในขณะที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตและบอบช้ำอย่างหนัก อันเนื่องมาจากการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มต่างๆ

ยังผลให้เกิดความสับสนทางการเมือง ความชะงักงันของเศรษฐกิจบางภาค ความหวาดระแวง และความวิตกกังวลในหมู่ประชาชนทั่วไป ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ จะเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศอย่างรุนแรง ประกอบกับเป็นที่ประจักษ์ชัดตามคำกราบบังคมทูลพระกรุณาของท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการนำชื่อกระผมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ เพื่อจะได้ใช้กระบวนการทางรัฐสภาและรัฐธรรมนูญคืนอำนาจอธิปไตยกลับไปให้ประชาชน เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องและมีความสมบูรณ์

และให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีโอกาสใช้ความสามารถในระยะเวลาอันสั้น ฟื้นฟูประเทศชาติให้เกิดเสถียรภาพในแนวทางสันติ เพื่อจะได้เป็นที่เชื่อถือแก่นานาประเทศต่อไป…”

ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลที่ฝุ่นตลบอยู่นี้ มีแนวโน้มจะใช้แนวทางของรัฐบาลอานันท์ ๒ สูงพอควรทีเดียว

คือตั้งรัฐบาลขึ้นมาเพื่อยุบสภาเลือกตั้งใหม่

พรรคประชาชนทอดสะพาน ยื่นเงื่อนไขตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ ๓ ข้อ

๑.นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน ๔ เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

๒.คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกินไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

๓.พรรคประชาชนยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

แทบไม่มีทางเลือกอื่นครับ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย จะต้องแข่งกันตะครุบ

โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคร่วมรัฐบาลเดิมนั้นยากมาก

การเสนอชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกรัฐมนตรี แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ แตกเป็น ๒ ขั้วชัดเจน

“เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น กับ ๑๘ สส.เลือกไปซบกับภูมิใจไทยแล้ว

ซีก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” จะกอดศพเน่าต่อหรือไม่ แทบไม่มีความหมายอะไรแล้ว

ไม่มีความสำคัญอะไรในทางการเมืองเลย

ถ้าออกมารูปนี้ ดีลตั้งรัฐบาล ภูมิใจไทยกับพรรคส้ม มีความเป็นไปได้มากกว่า

ขณะที่พรรคเพื่อไทย หากต้องการเป็นรัฐบาลต่อ ก็อยู่ในภาวะจำยอม ต้องรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเข้าตาจน

แต่หากพรรคประชาชนไม่อยากถูกหักหลังซ้ำซาก และไว้ใจพรรคภูมิใจไทยมากกว่า บวกกับ พรรครวมไทยสร้างชาติหายไปครึ่งหนึ่ง มันก็คือจุดจบของระบอบทักษิณ

สิ่งที่ภูมิใจไทยต้องการคือยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตั้งแต่วันที่ถอนตัวออกมาจากรัฐบาลแล้ว

และสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยจะได้คือ เอาระบอบทักษิณ ออกจากอำนาจ หยุดความร้อนแรงของเขากระโดง และแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการล็อตใหญ่

สิ่งที่พรรคประชาชนจะได้คือ เลือกตั้งใหม่ ตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะได้คือ ต่อลมหายใจไปอีก ๔ เดือน เพื่อหลักประกันในอนาคตของ “ทักษิณ”

ก็พอมองเห็นนะครับทางเลือกไหนมีประโยชน์กับประเทศมากกว่ากัน

สำหรับ “แพทองธาร” จบแล้วครับ ไปไม่กลับ

แม้คำวินิจฉัยครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญมิได้พูดถึงบทลงโทษ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่า คุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของ “แพทองธาร” นั้น เป็นศูนย์ไปแล้ว

ไร้คุณสมบัติอย่างสิ้นเชิง

ตลอดชีวิตของ “แพทองธาร” กลับมาเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ได้อีกแล้ว

เว้นเสียแต่ว่าคุณสมบัติของรัฐมนตรีในรัฐธรรมนูญถูกแก้ไข

ตัดประเด็นการละเมิดจริยธรรมร้ายแรงออก.

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from pp
“อนุทิน” บินด่วน “กาญจนบุรี” ชื่นชมฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ จับยาบ้า 50 ล้านเม็ด
13 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายชาดา ไทยเศรษฐ์...
Read More
0 replies on “ตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ #ผักกาดหอม”