สันต์ สะตอแมน
เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจให้กัมพูชาได้เห็น!
นั่นคือเหตุผลของรัฐบาลที่จะยุติบทบาท-หน้าที่ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ลง และอ้างว่าสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้น อยู่ภายใต้ภาวะที่ควบคุมได้
ด้านคุณบุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ที่เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษก ยังไม่ทันได้เริ่มใช้ปาก-ใช้สมองปัญญา ก็ได้โพสต์..
“ข้อสรุปที่บุ๋มรับทราบมา คือรัฐบาลตั้งใจยุบ ศบ.ทก.ภายในสัปดาห์นี้เป็นการเร่งด่วน เพื่อแสดงความจริงใจต่อชาวกัมพูชา ว่าประเทศไทยมีเจตนาดีในการแก้ปัญหา
และการคงอยู่ของศูนย์ก็เหมือนสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นว่าทางเราไม่มีความตั้งใจในการสงบศึก
ตัวบุ๋มเองก็คิดว่าสันติภาพคือทางออกที่สำคัญที่สุด เพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน ไม่มีใครสบายใจที่จะอยู่ในพื้นที่ตึงเครียด
ก็ได้แต่คาดหวังว่าครั้งนี้ รัฐบาลจะสามารถเจรจา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและป้องกันอธิปไตยผ่านการทูตอย่างที่ลั่นวาจาไว้ อย่าทำคนไทยผิดหวังนะคะ”
ครับ..แสดงความจริงใจให้เขมรได้เห็นแล้วยังไงต่อล่ะ? หรือให้ทหารอยู่เฉยๆ เดินเล่นทอดน่องตามแนวชายแดนแล้วเผลอไปเหยียบกับระเบิดขาขาดไปทีละนายสองนาย..
เพื่อให้ฮุน เซน-ฮุน มาเนต สบายใจอย่างนั้นใช่ไหม?
นี่..สถานการณ์สงครามนะครับ ไม่ใช่บรรยากาศ “เด็กเล่นขายของ” หรือละครตบจูบหลังข่าว จะแสดงความจริงใจอะไรนักหนา..
ในเมื่อก็เห็นอยู่ตำตาว่าฮุน เซน กลับกลอก กะล่อน ปลิ้นปล้อน ตอแหลอยู่ตลอดเวลา..หือ?
ทำไม-จำเป็นอะไรที่จะต้องทำให้เห็นว่าเรามีความตั้งใจในการสงบศึก เขมรโน่นต่างหากที่จะต้องทำให้เห็น (ก่อน) ว่ามีความตั้งใจในการสงบศึก..
แต่ถ้ามันยังแอบวางทุ่นระเบิด ยังแหกปากใส่ร้ายไทย และทำคึก-ปากเก่ง-อวดดี-ท้าทาย ก็จัดให้มันไปเท่านั้นเอง..
ไม่ใช่หน่อมแน้ม เกรงใจกลัวฮุน เซน โกรธ!
เออ..แต่นั่นไม่รู้จะละอายใจกันบ้างไหม ผมหมายถึงสื่อ-คนในวงการบันเทิงที่เคยเชิดชู ยกย่อง สนับสนุน เชียร์ รวมถึงบรรดายูทูบเบอร์ที่เคยทำมาหาแดกร่วมกันมา..
ด้วยคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ในคดีเด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ “น้องชมพู่” อายุ 3 ขวบหายไปจากบ้านพักภายในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง เมื่อปี 2563
ได้มีการแก้โทษ สั่งจำคุก “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” จาก 20 ปี เป็นเวลา 26 ปี โทษฐานเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผลไว้ก่อนและพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา
ถ้าไม่เคอะเขิน-ไม่อาย หรือไม่รู้สึกรู้สาก็ไม่เป็นไร แต่หากพอจะมีหิริโอตตัปปะหลงเหลืออยู่บ้าง ก็อยากให้ถือดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา-ขอโทษวิญญาณน้องชมพู่เสีย
เสร็จแล้วก็กลับมานั่งหน้าจอโทรทัศน์ยืดอกกล่าวคำขอโทษต่อสังคม ยอมรับว่าสิ่งที่ทำไปก่อนหน้านั้นเป็นด้วยอะไรก็ว่าไป..บลาๆๆ
หรือจะด่าจะประจานลุงพลอย่างไรก็เอาเลย ไม่ต้องกลัวจะถูกหาว่า “เหยียบคนล้ม” แต่ให้คิดเสียว่าเป็นการไถ่บาปให้กับตัวเองที่เคยหลงผิด และหลงในผลประโยชน์ที่ได้!
ส่วนนักร้องลูกทุ่ง-หมอลำคนดัง “น้องจินตหรา พูนลาภ” ของผม ที่เคยฟีเจอริงกับลุงพลและร้องเพลง “อยากเป็นป้าแต๋น” นั้น ก็เห็นจะต้องปล่อยเลยตามเลย
เพราะเธอคงจนปัญญาที่จะตาม “ลบเพลง” ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้หมด แต่อย่างไรเสียน้องจินก็ควรจะมีคำขอโทษจากใจออกมาด้วยเช่นกัน!
และนี่..ก็เป็นอุทาหรณ์อีกครั้งหลังจากกรณีของ “แท็กซี่ลวงโลก” เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ทั้งสื่อ ทั้งคนในวงการบันเทิงได้พร้อมใจกันยกย่อง เชิดชูโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง..
จาก.. “คนดีศรีสังคม” เลยกลายเป็น “คนลวงโลก” ในชั่วคืน!
ก็..ปิดตำนาน “บ้านกกกอก” จากลุงพลคนซื่อ กลายเป็น “ลุงพลอำมหิตเหี้ยม” นับแต่นี้ไป ด้านผู้สร้างหนังไทย ถ้าเผื่อจะมีบริษัทหรือผู้กำกับท่านใด..
มือไว ฉกเอาเรื่องราวมาเล่าถึงการฆาตกรรม-สืบสวนสอบสวนผ่านจอก็น่าจะได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย และถ้าเป็นแต่ก่อน..
จะยอม (ยุ) “เสี่ยเจียง” เลย!.