สารหนูในแม่น้ำกก วิกฤตสิ่งแวดล้อมของจริง โดย บดินทร์ พิทักษ์พล

การปนเปื้อนของสารหนู (arsenic) และตะกั่ว (lead) ในน้ำจืดถือเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เนื่องจากสารทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นสารพิษเรื้อรังที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์และสัตว์น้ำ แม้ในระดับความเข้มข้นที่ต่ำกว่าระดับที่สังเกตเห็นได้ทางกายภาพ

รายงานล่าสุดจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญในภาคเหนือของประเทศไทย มีการปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วในระดับที่ “เกินค่ามาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญ” โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้จุดบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นปลายน้ำของทั้งสองลำน้ำนี้

จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำผิวดินบริเวณ “แม่น้ำกกก่อนไหลลงแม่น้ำโขง” ณ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน พบค่าสารหนูสูงถึง 0.031 มิลลิกรัมต่อลิตร และในจุด “สบกก” ตำบลบ้านแซว พบค่าสารหนูสูงขึ้นเป็น 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานน้ำผิวดินประเภท 3 ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้คือ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ถึง 3.6 เท่า

ส่วนในแม่น้ำสาย การตรวจวัดใน 3 จุดสำคัญได้แก่ บ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 และบ้านป่าซางงาม หมู่ 6 ตำบลเกาะช้าง พบสารหนูในระดับ 0.44 – 0.49 มิลลิกรัมต่อลิตร และตะกั่วในระดับ 0.058 – 0.066 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งล้วนเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ (0.05 มก./ล. สำหรับตะกั่ว)

การที่สารหนูมีความเข้มข้นสูงในแหล่งน้ำจืด ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรงในการบริโภค การเกษตร และประมงพื้นบ้าน ซึ่งสารหนูสามารถสะสมในร่างกายผ่านการดื่มน้ำ การหายใจจากไอละอองน้ำ หรือการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน เช่น ปลา หอย หรือพืชน้ำ เมื่อสะสมในร่างกายในระยะยาว สารหนูจะส่งผลต่อระบบประสาท ระบบไต ตับ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ในเชิงระบบนิเวศสารหนูและตะกั่วเป็นโลหะหนักที่มีศักยภาพในการสะสมในห่วงโซ่อาหาร (bioaccumulation) และเกิดการขยายความเข้มข้นผ่านลำดับโภชนาการ (biomagnification) ซึ่งส่งผลให้สัตว์น้ำ รวมถึงนกกินปลา หรือแม้แต่สัตว์บกที่ใช้แหล่งน้ำนี้ อาจได้รับพิษสะสมจนอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตน้ำ เช่น ปลาน้ำจืดหรือหอยน้ำจืด ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญทางเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายมีต้นกำเนิดจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะแม่น้ำสาย-น้ำรวก ไหลเข้าประเทศไทยที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและการสำรวจของนักข่าวและนักวิชาการระบุว่า มีพื้นที่ที่คาดว่าเป็นกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำอยู่ใกล้บริเวณต้นน้ำ โดยใช้กระบวนการสกัดแร่ด้วยสารปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียหรืออ่างเก็บน้ำ

กระบวนการสกัดแร่ทองคำในบางกรณีใช้แผ่นปรอทสำหรับจับทองคำเม็ดใหญ่ และใช้ถังแช่ไซยาไนด์สำหรับแร่ทองคำที่มีขนาดเล็ก ซึ่งหากไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด สารเคมีเหล่านี้สามารถหลุดรอดลงสู่ลำน้ำได้ง่าย และกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมในฝั่งไทยในปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากฝั่งเมียนมาว่าเกิดจากเหมืองใด แต่การระบุแหล่งกำเนิดมลพิษเป็นภารกิจที่รัฐไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ปัจจุบัน สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็น “มลพิษข้ามพรมแดน” (Transboundary Pollution) ซึ่งท้าทายขีดความสามารถของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับชาติ เพราะแม้ว่าฝ่ายไทยจะสามารถตรวจวัดและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปจัดการต้นตอของปัญหาในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้โดยตรง

ทั้งนี้ แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาต่าง ๆ เป็นพื้นที่ความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้กรอบแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งรวมถึงจีน ลาว เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนาม การเร่งผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่วาระระดับภูมิภาคจึงมีความจำเป็นเร่งด่วน และในแง่นโยบาย รัฐบาลไทยควรดำเนินการในสามระดับหลัก ได้แก่

• ระดับท้องถิ่น: เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยสารพิษในแหล่งน้ำ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน และจัดหาแหล่งน้ำทดแทนสำหรับการบริโภคอย่างเร่งด่วน

• ระดับชาติ: ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านมลพิษข้ามพรมแดน เพื่อวางแผนระยะยาวและประสานงานกับหน่วยงานต่างประเทศ โดยใช้กลไกทางการทูตควบคู่กับวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม

• ระดับภูมิภาค: ผลักดันให้มีการลงนามในข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในลุ่มน้ำต้นกำเนิดและการติดตามมลพิษในระยะยาวโดยองค์การระหว่างประเทศ

สถานการณ์สารหนูและตะกั่วในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่ใช่เพียงภัยสิ่งแวดล้อม แต่คือความท้าทายด้านความมั่นคงของมนุษย์ในภูมิภาค การนิ่งเฉยหรือการแก้ไขแบบปลายเหตุอาจนำมาซึ่งความสูญเสียในระดับที่ฟื้นฟูได้ยาก ประเทศไทยในฐานะประเทศปลายน้ำมีหน้าที่ปกป้องประชาชนของตน และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยสำหรับคนรุ่นต่อไป รัฐบาลควรหันมาเร่งแก้ปัญหานี้ทันที ก่อนวิกฤตสิ่งแวดล้อมบานปลายจนยากเกินแก้และทำให้ชีวิตของผู้คน สรรพสัตว์ ตลอดจนพืชพันธุ์ ต้องสูญเสียอีกนับไม่ถ้วน.

Written By
More from pp
รุกรบไม่ลดละ!!นักรบโควิด-19 อสม.อำเภอตะกั่วป่า ตรวจเข้มคัดกรองผู้สัญจรร่วมกับตำรวจ ผู้นำชุมชนป้องกันโรคร้าย
วันที่ 30 เม.ย. 63 ผู้สื่อข่าวจังหวัดพังงา ได้รายงานบรรยากาศการทำงานของ อสม.ผู้นำชุมชน ตำรวจสภ.ตะกั่วป่า ร่วมกันตั้งจุดคัดกรองประชาชนที่ผ่านไปมาในพื้นที่ทางเข้า ออก ชุมชน บขส.ตะกั่วป่า...
Read More
0 replies on “สารหนูในแม่น้ำกก วิกฤตสิ่งแวดล้อมของจริง โดย บดินทร์ พิทักษ์พล”