ธาตุแท้การเมือง #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

มีความพยายามสร้างชุดข้อมูลว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นกับความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว

มีการอ้างว่า “ยิ่งลักษณ์” ไม่มีส่วนในการสร้างความเสียหาย เพราะคุมนโยบาย

แต่ความผิดพลาดเกิดในระดับปฏิบัติ

มีการอ้างอิงคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ว่า คำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ที่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงิน ๓๕,๗๑๗ ล้านบาท ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เท่ากับ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ต้องรับผิดชอบ!

หากอ่านโดยละเอียดคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย อาทิ…

“…กรณีที่ สำนักงาน ป.ป.ช.มีหนังสือ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ แจ้ง ‘ยิ่งลักษณ์’ ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีขึ้นล่วงหน้าก่อนที่จะเปิดโครงการรับจำนำข้าว ๒ วัน เป็นการเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นเพียงคำแนะนำ

เมื่อ ‘ยิ่งลักษณ์’ ได้รับหนังสือแจ้งจาก สตง. และสำนักงาน ป.ป.ช. ‘ยิ่งลักษณ์’ ก็ได้สั่งการตามอำนาจหน้าที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาป้องกันดูแลการทุจริตตามอำนาจหน้าที่แล้ว

‘ยิ่งลักษณ์’ ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลเชิงนโยบาย มีข้อราชการที่ต้องบริหารกำกับดูแลมากมาย มิจำต้องถึงขนาดที่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ต้องติดตามหนังสือสั่งการทุกฉบับ และตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานทุกหน่วยงานดังกล่าวด้วยตนเองทุกกรณี

อีกทั้งหนังสือ สตง.และสำนักงาน ป.ป.ช. มิใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ…”

“…การที่กระทรวงการคลัง มีคำสั่งให้ ‘ยิ่งลักษณ์’ รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ ๒๐ ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน ๓๕,๗๑๗,๒๗๓,๐๒๘.๒๓ บาท จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ประกอบกับการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวมีการดำเนินการในรูปแบบของกรรมการซึ่งจะต้องอาศัยมติที่ประชุมเสียงข้างมาก

แม้ ‘ยิ่งลักษณ์’ จะอยู่ในฐานะประธาน แต่ก็มิอาจมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ ยับยั้ง อนุมัติ เห็นชอบ หรือดำเนินการใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของตนได้…”

ครับ..นี่เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด

คดีนี้เมื่อปี ๒๕๕๘ “ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในขณะนั้นลงนามหนังสือให้กระทรวงการคลังพร้อมแนบสำนวนไต่สวน ซึ่งมีการระบุตัวเลขความเสียหายจากการปิดบัญชีโครงการราว ๓๒๐,๐๐๐ ล้านบาท

ขณะเดียวกันยังไม่นับรวมการปิดบัญชีของกระทรวงการคลัง ซึ่งระบุตัวเลขความเสียหายสูงถึง ๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท

กระทรวงการคลังในฐานะผู้ค้ำประกันโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด ถือเป็นผู้เสียหายโดยตรง จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ถอยหลังไปอีกหน่อย

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๕๗ ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๓๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๖ นโยบายเร่งด่วนที่พรรคเพื่อไทยให้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แต่ภายหลังพบว่ามีการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้น

คำสั่งดังกล่าวให้อำนาจคณะกรรมการในการตรวจสอบและดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ซึ่งรวมถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ภายใต้อำนาจตามคำสั่งนี้ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดสูตรการคำนวณค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในแต่ละปีการผลิต

โดยใช้วิธี มูลค่าการรับจำนำข้าว-ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ-มูลค่าที่ได้จากการระบายข้าว = ค่าเสียหายสุทธิ

จากการคำนวณดังกล่าว ทำให้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากโครงการรับจำนำข้าว รวมเป็นเงินกว่า ๓๕,๗๑๗ ล้านบาท

๒๒ พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพิพาท เฉพาะส่วนที่ให้ “ยิ่งลักษณ์” รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน ๑๐,๐๒๘,๘๖๑,๘๘๐.๘๓ บาท

โดยศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาและออกคำบังคับให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าแต่อย่างใด

หมายความว่า ศาลมิได้สั่งให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้

แต่ใน ๓๕,๗๑๗ ล้านบาทนั้น “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบ ๑๐,๐๒๘ ล้านบาท

ครับ…ที่ร่ายมาก็เพื่อความเข้าใจในที่มาของคดี เพราะมีการนำไปบิดเบือนว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจวินิจฉัย เพราะไม่เช่นนั้นต่อไปรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบชดใช้ในทุกนโยบายที่นำมาปฏิบัติ

ต้นตอการบิดเบือนมาจาก “ปิยบุตร แสงกนกกุล”

มีการแชร์ต่อๆ กันในหมู่ สส.พรรคส้ม จนราวกับว่า พรรคส้ม มีนโยบายมิให้ฝ่ายการเมืองต้องรับผิดชอบใดๆ หากนโยบายที่นำมาใช้นั้นประสบความล้มเหลว

โดยมิได้ดูเจตนาว่า มีการทุจริต คอร์รัปชัน ในการดำเนินนโยบายหรือไม่

อย่างที่ทราบกันครับ แม้เสียงเตือนจากองค์กรต่างๆ บุคคลสำคัญๆ ไปยังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้ระวังการทุจริตในการดำเนินนโยบายซึ่งมีอยู่แทบทุกระดับ มิได้เป็นคำสั่งทางปกครอง

แต่เสียงเตือนทั้งหมด เป็นเสียงเตือนอย่างสุจริต ไม่อยากเห็นฝ่ายการเมืองคดโกง เพราะนี่คือปัญหาที่เกาะกินประเทศมานาน

และหาคนมาแก้ไขมิได้

การปราบคอร์รัปชัน หลายๆ ประเทศมักเริ่มต้นโดยสถาบันตุลาการ

น้อยมากที่จะเริ่มโดยฝ่ายการเมือง

ฉะนั้นหากอยากให้คอร์รัปชันหมดไปจากประเทศไทย ก็อย่าไปคาดหวังว่าฝ่ายการเมือง จะลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

ขนาดพรรคส้ม พรรคคนรุ่นใหม่ ที่บอกว่าทำงานการเมืองแบบใหม่ ก็ยังเกลือกกลั้วประเด็นนี้กับ “ยิ่งลักษณ์”

การมีสถาบันตุลาการที่เข้มแข็งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ฝ่ายการเมืองไม่โปร่งใส.

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from pp
ดอยตุง ชวนเที่ยวงาน กาดกลางกรุง ดอยตุง กรีน ซีตี้ มาร์เก็ต ช้อปสินค้าสุดคูลฝีมือคนบนดอย แบบกรีน กรีน ใจกลางเมือง
ดอยตุง ชวนเที่ยวงาน กาดกลางกรุง ดอยตุง กรีน ซีตี้ มาร์เก็ต มหกรรมรวมสินค้าและอาหารแบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม ดอยตุง ส่งตรงจากเชียงราย มาให้ช้อป ชิม...
Read More
0 replies on “ธาตุแท้การเมือง #ผักกาดหอม”