ผักกาดหอม
สทร. (เสือกทุกเรื่อง) ฉายาที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งให้ตัวเอง
สาเหตุเพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าครอบงำรัฐบาลแพทองธาร ทั้งในเรื่องนโยบาย และการบริหารราชการแผ่นดิน
“ทักษิณ” ก็รับตามนั้น
ถึงขนาดอ้างถ้อยความในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ มาเพื่อประโยชน์ในการแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล
“ทักษิณ” ไปพูดที่ยะลา เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
“…สำคัญที่สุดเมื่อผมได้รับพระบรมราชโองการลดโทษ ก็ทรงระบุชัดในพระบรมราชโองการว่า ผมต้องใช้ความรู้ความสามารถมาช่วยบ้านเมือง…”
ไปดูใจความพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ท่อนที่ “ทักษิณ” อ้างถึงอีกครั้งครับ…
“…ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน สืบไป…”
ก็ระบุเช่นนั้นจริง
แต่…
“ทักษิณ” ไม่ได้ติดคุก ๑ ปี จริง
มีขบวนการช่วยเหลือไม่ให้ “ทักษิณ” ติดคุก แต่ส่งไปนอนตากแอร์ ห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจแทน
นี่จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ อย่างน้อยมี ๒ หน่วยงานกำลังทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง คือ…
แพทยสภา
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
การใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน แตกต่างจากการครอบงำรัฐบาลที่ลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างสิ้นเชิง
และไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน
พฤติการณ์ของ “ทักษิณ” มิใช่การแนะนำ แต่เป็นการครอบงำ และบงการ
มันปรากฏชัดตั้งแต่วันที่ยังไม่มีรัฐบาลแพทองธารด้วยซ้ำ
ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่า “ทักษิณ” เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปหาที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อหาคนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ถูกถอดถอน
“อนุทิน ชาญวีรกูล” ยอมรับว่าไปจริง
แต่ไปกินมาม่า
หลังจากนั้น ๒๒ สิงหาคม “ทักษิณ” แถลงนโยบายรัฐบาลก่อนที่ “แพทองธาร ชินวัตร” จะแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา
แต่สิ่งที่ “ทักษณ” พูดบางประเด็นไม่ปรากฏในนโยบายรัฐบาล
กลับมีการนำไปปฏิบัติตาม
อาทิ นโยบายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนเป็นศูนย์กลาง ขณะที่นโยบายไม่ระบุว่ามีกาสิโน
“…เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจาย ลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว…”
ไหน…กาสิโน
รวมถึง พนันออนไลน์ ก็ไม่มีการแถลงถึง
เท่ากับ รัฐบาลแพทองธาร เอานโยบายของ “ทักษิณ” มาใช้โดยไม่บอกกล่าวกับรัฐสภา
แถมยังเป็นนโยบายที่ใช้อบายมุขมอมเมาประชาชนอีกต่างหาก
๓ บรรทัดตอนจบในคำแถลงนโยบายของนายกฯ แพทองธาร ยังจำกันได้ไหม
“…เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
เพื่อนำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และ ประเทศไทย
เพื่อสร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต…”
แค่ กาสิโน กับ พนันออนไลน์ ก็จบเห่แล้วครับ
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ที่อธิบายว่าทำไมการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องพูดถึง “ทักษิณ”
ไม่ว่าจะมีชื่อ หรือไม่มีชื่อ ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม
แล้วไฉน “ทักษิณ” ถึงไม่ยอมให้คนอื่นเสือกเรื่องตัวเองบ้าง
กลัวอะไร?
ไปดูญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยพรรคเพื่อไทยและพวก เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ๒๕๖๕ จะพบว่า นายกรัฐมนตรีที่ฝ่ายค้านในขณะนั้น เรียกว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น มิได้อยู่ใต้การบงการของใคร
เนื้อหาในญัตติจึงถล่ม “ลุงตู่” ตรงๆ
บางท่อนบางตอนดังนี้ครับ
“…พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอดระยะเวลาร่วมแปดปีที่บริหารประเทศมาในฐานะนายกรัฐมนตรี ผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้เลย
ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้างและรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชัน ประชาชนในชาติแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขยายวงกว้างขึ้นมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่ามีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแพร่กระจายไปทุกอณูของสังคม เป็นยุคที่ทุจริตเฟื่องฟู ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรั้งท้ายของอาเซียน
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ
ขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้นำที่พิการทางความคิด ยึดติดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน
ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้บุคคลแวดล้อมและพวกพ้องของตนแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
โดยละเว้นเพิกเฉยต่อการทุจริตในภาครัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง การใช้จ่ายงบประมาณมิได้คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง มุ่งแต่ก่อหนี้เพื่อแสวงหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่สนใจต่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้สินต่อหัวของประชาชน
จนเรียกได้ว่า ‘เป็นยุคก่อหนี้มหาศาลเพื่อนำมาผลาญโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชน’ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา…”
นั่นคือญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเผด็จการที่ยื่นโดยฝ่ายประชาธิปไตย มีพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย เป็นแกนนำ
แต่สรุปใจความได้ชัดเจนคือ “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ตัวจริง
ผิดกับญัตติซักฟอกนายกฯ แพทองธารอย่างสิ้นเชิง
เพราะมีนายกฯ ซ้อนนายกฯ
นี่เป็นเหตุผลให้ต้องซักฟอกคนเสือกทุกเรื่องด้วย
