หลังศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มกรณีปลาหมอคางดำ (Blackchin Tilapia) เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา ระบุชัดเจนว่า “คำสั่งนี้เป็นเพียงการรับรองให้คดีสามารถดำเนินไปในรูปแบบของคดีแบบกลุ่มเท่านั้น แต่ยังไม่ได้เป็นการพิจารณาว่า ซีพีเอฟ มีความผิดตามข้อกล่าวหา” และขั้นตอนต่อไปศาลฯเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ได้ภายใน 7 วัน แต่หลายฝ่ายฟันธงโดยไม่แยแสคำสั่งศาลว่าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในที่นี้ขอเรียกว่า “จำเลย” เป็นคนผิดทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิจารณาในชั้นศาล โดยฝ่ายโจทก์ คือ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำ
คำสั่งศาลแพ่งในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเข้าสู่การพิจารณาตามขบวนการทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ จึงไม่ควรด่วนสรุปว่าจำเลยมีความผิดเพราะคนตัดสินคนสุดท้าย คือ “ศาล” และต้องว่ากันตามหลักฐานข้อเท็จจริงที่นำมายืนยันความถูกต้องของโจทก์และจำเลย ระหว่างนี้ต้องก็ต้องอดใจรอให้ขบวนการยุติธรรมทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ
ก่อนอื่นมาทำรู้จักกับ “การดำเนินคดีแบบกลุ่ม” เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้สังคมตัดสินใจอย่างถูกต้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action Lawsuit) คือ การดำเนินคดีแพ่งที่มีผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากการกระทำที่มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน โดยผู้เสียหายไม่ต้องเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองทุกคน ภายใต้กฏหมายมาตรา 222/1
ในกรณีนี้จะต้องพิสูจน์กันในรายละเอียดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เสียหายกว่า 1,400 คน ที่เข้าชื่อร้องเรียน ส่วนใหญ่เป็นผู้เลี้ยงกุ้งที่มาร่วมลงชื่อเรียกร้องต่อบริษัทฯ ในคดีนี้ แม้จะอยู่ในจังหวัดสมุทรสงครามด้วยกัน แต่ก็มาจากหลากหลายฟาร์มในพื้นที่ต่างกันและวิธีการเลี้ยงสัตว์น้ำต่างกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่เกษตรกรหลายรายจะเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นมาร่วมลงชื่อ หากโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานชัดเจนได้ว่า ได้รับความเสียหายจากแหล่งเดียวกันซึ่งเป็นผลกระทบจากปลาหมอคางดำ ก็ควรฟ้องแยกรายบุคคลในคดีนี้แทน
กรณีปลาหมอคางดำนี้ ถูกยกระดับเป็นปัญหาระดับประเทศโดยมีจำเลยเป็นเพียงบริษัทเดียว ดังนั้นในการพิจารณาตัดสินของศาลฯ ต้องมีการเรียกหลักฐานมาแสดง หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ DNA ของปลาอย่างชัดเจน คือ แหล่งกำเนิดของปลาหมอคางดำที่สร้างความเสียหายตามข้อกล่าวอ้างนั้นเกิดจากปลาที่ ซีพีเอฟนำเข้ามาโดยตรง ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในการชี้ว่าปลาที่พบในฟาร์มผู้เสียหายมีต้นกำเนิดจาก CPF หรือไม่ อาจเป็นไปได้ที่ความเสียหายของแต่ละฟาร์มได้รับผลกระทบจากแหล่งอื่น
นอกจากนี้ ศาลฯ อาจจะใช้รายงานของหน่วยงานราชการอย่างกรมประมง หรือสั่งให้กรมฯ ตรวจสอบหรือแสดงข้อมูลในประเด็นการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายและส่งออกปลาหมอสีคางดำโดย 11 บริษัท เป็นหนึ่งในหลักฐานและสั่งการให้มีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดของปลาที่แท้จริง เพราะอาจเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำได้ ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ก็ถูกพิจารณาดำเนินคดีเช่นเดียวกัน
ด้านเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ร่วมกันร้องเรียนบริษัทฯ ก็จำเป็นต้องนำหลักฐานการเลี้ยงและความเสียหายมาแสดงยืนยันต่อศาลให้เกิดชัดเจนว่าเกิดจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำตามคำร้องจริง และเกษตรกรได้ดูแลผลผลิตในฟาร์มตามแนวทางการป้องกันตามหลักวิชาการอย่างดี เพราะข้อมูลเหล่านี้มีผลเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ที่ผู้เกี่ยวข้องจะได้รับทั้งสิ้น หรือมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ หรือไม่ ในการพิจารณาคดีคงไม่อาจทิ้งหลักฐานส่วนนี้ได้
คดีนี้จะยาวนานแค่ไหน ขึ้นกับการพิจารณาของศาล ทั้งโจทก์และจำเลยสามารถขอให้ศาลเรียกหลักฐานมาแสดงเพื่อยืนยันความถูกต้องของตัวเอง ดังนั้นหลักฐานของแต่ละฝ่ายต้องชัดเจน และพร้อมในทุกประเด็น ซึ่งคดีนี้ต้องพิจารณากันต่อไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอเพียงรอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาและตัดสินคนสุดท้าย สังคมอย่าด่วนตัดสินใจเพียงเพราะได้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น